Monday, December 20, 2010

งาน Motor Expo 2010 - เมืองทองธานี


ไปงาน Motor Expo 2010 มาเมื่อวันที่ 11 ธ.ค.53 แต่เพิ่งจะมีเวลาว่าง+อารมณ์สุนทรีย์มานั่งเขียนเอาวันนี้ และที่สำคัญคือ ถ้ายิ่งปล่อยให้นานวันบรรยากาศในวันนั้นจะค่อยๆเลือนลางไปจากความทรงจำ ทำให้ต้องมานั่งนึกกันใหม่ว่า เอ..วันนั้นเราเริ่มต้นยังงัย และจบลงยังงัย..

เมื่อวันที่ 11 ธ.ค. 53 หลังจากเลิกงานก็เดินไปเล่นที่ห้องพี่กุ้ง ทำให้ได้รู้ว่าพี่กุ้งกับน้องชายและน้องสะใภ้ของพี่กุ้งจะไปงาน Motor Expo กัน เท่านั้นแหละ เข้าทางเราเลย ไปด้วยซะเลย แหม ก็ทิพย์กำลังว่างอยู่พอดีนี่คะ ก็อยากไปกะพี่ๆเค้าน่ะสิ (ถ้าเราอยู่แต่ในบ้าน ก็เหมือนกับเราอ่านหนังสือแค่หน้าเดียว เราก็ต้องออกไปดูโลกภายนอกบ้าง ไปดูอะไรต่อมิอะไรที่มันเปลี่ยนแปลงไป สมัยนี้เทคโนโลยีพัฒนาเร็วยังกะติดจรวด ยังงัยทิพย์ก็ขอร่วมสมัยไม่ตกเทรนด์นิดนึงน่ะค่ะ)

บรรยากาศที่งานคึกคักเลยทีเดียวค่ะ รถแต่ละค่าย ไม่ว่าจะเป็น โตโยต้า ฮอนด้า อีซูซุ มิตซูบิชิ นิสสัน ฯลฯ ก็นำรถมาจอดแสดงให้ผู้ที่สนใจได้สัมผัสและลองนั่งกันได้ด้วยค่ะ (ยกเว้นรถยนต์บางค่ายที่ราคาแพง+หรู) งานนี้พี่กุ้งกับน้องๆ ลองนั่งกันเพลินเลยค่ะ พี่เก่ง(น้องพี่กุ้ง)บอกว่า จะซื้อรถมันต้องใจเย็นๆ ค่อยๆ ดู ค่อยๆ เลือก ค่อยๆ นั่ง แล้วค่อยตัดสินใจ แต่..คุณพี่คะ เห็นคุณพี่ลองนั่งมันซะทุกคันเลยค่ะ ไม่เห็นคุณพี่จะตัดสินใจเลยล่ะคะ (แอบแซวนิดนึง ฮ่าๆ) คือ จริงๆ แล้วพี่เก่งตั้งใจจะไปดูรถกระบะค่ะ บูธไหนมีรถกระบะจอดแสดงอยู่พี่แกแวะทุกบูธ คุยกับเซลเป็นนานสองนาน แต่สุดท้ายพี่เก่งก็บอกว่า สอบถามไว้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจ งานนี้ก็เลยยังตัดสินใจไม่ได้ค่ะ

ส่วนทิพย์ก็เดินดูไปเรื่อย ดูทุกบูธ ถ่ายรูปไปเรื่อย และที่สำคัญคือ ตั้งใจนำภาพบรรยากาศในงานมาฝากเพื่อนๆนั่นเองค่ะ แอบกระซิบนิดนึงว่า พริตตี้ที่งานนี้สวยๆทั้งนั้นเลยค่ะ แต่ที่เห็นอยู่ในภาพน่ะ ทิพย์เองนะคะ อย่าเข้าใจผิด ฮ่าๆๆ (ถ้าให้ทิพย์ไปเป็นพริตตี้เกรงว่ารถเขาจะขายไม่ออกน่ะค่ะเพื่อนๆ) ไว้ครั้งหน้าไปที่ไหน ทิพย์จะรีบนำมาอัพเดทให้เพื่อนๆ ได้อ่านกันอีกนะคะ

Friday, December 10, 2010

ชมงานนิทรรศการการบินพลเรือน-ท่าอากาศยานดอนเมือง






วันนี้เป็นวันรัฐธรรมนูญ(10 ธ.ค.53) เป็นวันที่ระลึกถึงโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าพระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2475 เป็นรัฐธรรมนูญถาวรฉบับแรกของประเทศไทย โดยผลของการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 ซึ่งประกาศใช้เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2475 ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎร จากระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็น ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ (ประชาธิปไตย) เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน ปีเดียวกัน และรัฐธรรมนูญฉบับที่ใช้อยู่ในปัจจุบันเป็นฉบับที่ 18 ประกาศใช้เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2550

เนื่องจากเป็นวันหยุด ก็เลยมีโอกาสได้ไปชมงานนิทรรศการการบินพลเรือนครั้งที่ 2 จัดแสดง ณ ท่าอากาศยานดอนเมือง ซึ่งจุดประสงค์ของการจัดการก็เพื่อเผยแพร่พระปรีชาสามารถของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฏราชกุมาร และเป็นการฉลองโอกาสครบรอบ 100 ปี การบินของราชอาณาจักรไทย การจัดแสดงมี 3 วัน ตั้งแต่วันที่ 9-11 ธันวาคม 2553 เวลาประมาณ 10.00-16.00 น. ค่ะ

ที่บริเวณลานจอดของท่าอากาศยานดอนเมือง มีเครื่องบินแบบต่างๆ ของหน่วยงานด้านการบินมาจอดแสดงอยู่ประมาณ 86 ลำ ที่จำชื่อได้ก็มี เครื่องบินนางสาวสยาม (Miss Siam) เครื่องบินของครอบครัวข่าวของช่องสามก็มาจอดแสดงด้วยค่ะ ผู้ที่มาชมงานสามารถเข้าชมและสัมผัสได้อย่างใกล้ชิดกันเลยค่ะ

แต่ที่น่าตื่นเต้นและเป็นไฮไลน์ของงานนี้ก็คือ การแสดงการบินแบบผาดแผลงของเครื่องบินรูปแบบต่างๆ ค่ะ จากภาพด้านบนที่มีฝูงบินบินเรียงแถวกันคือ การบินหมู่ของสำนักฝนหลวงและการบินเกษตรค่ะ ล่างลงมาคือภาพของนักบินสิบท่านบนเครื่องบินทั้ง 5 ลำ ถัดลงมาก็เป็นการแสดงการบินผาดแผลงของเฮลิคอปเตอร์แบล็กฮอร์ค ของกองการบินทหารบก ส่วนสองภาพล่างคือภาพของนักบินของเฮลิคอปเตอร์แบล็กฮอร์คค่ะ และที่น่าหวาดเสียวที่สุดคือการแสดงการบินแบบผาดแผลงของเครื่องบินแบบเอ็กตร้า300 จากวิทยาลัยการบินนานาชาตินครพนม โดยนักบินคือครูเหยี่ยว นาวาอากาศโท วชิรากรณ์ จิ่นจัน ซึ่งเป็นนักบินผาดแผลงที่มีชื่อเสียงคนนึงของประเทศไทยค่ะ น่าเสียดายที่ทิพย์ไม่ได้เก็บภาพการแสดงการบินของครูเหยี่ยวมาฝากเพื่อนๆ เนื่องจากชมการแสดงการบินเพลินจนลืมถ่ายภาพ เรียกได้ว่า ตื่นเต้นและหวาดเสียวจนเกือบลืมหายใจกันเลยล่ะค่ะ

ถ้าเพื่อนๆ คนไหนสนใจหรืออยากพาน้องๆ หนูๆ ไปชมงานนี้ ยังมีถึงวันพรุ่งนี้อีกวันนึงนะคะ อ้อ น้องๆ ที่อายุระหว่าง 10-15 ปี ยังมีสิทธิ์จับสลากเพื่อขึ้นเครื่องบินของครอบครัวข่าวของช่องสาม โดยคุณฐาปนีย์ เอียดศรีชัย จะพาน้องๆ ไปชมรอบๆเกาะเกร็ดอีกด้วยค่ะ ส่วนทิพย์น่ะอยากจับสลากมั่ง แต่อายุเกินค่ะเพื่อนๆ เสียดายจัง!

เกือบลืมบอกเพื่อนๆ ไปว่า ทางกองบินพลเรือนมีรถบริการรับส่งจากอนุสาวรีย์ชัยถึงลานจอดของท่าอากาศยานดอนเมืองเลยค่ะ จุดจอดมีสองที่ คือ ที่อนุสาวรีย์ชัยและหน้าสวนจตุจักร(หมอชิต) งานนี้ ฟรีทั้งค่าเดินทางและค่าเข้าชมงานเลยค่ะ ถ้าเพื่อนๆ ว่างก็ไปชมกันนะคะ ไปดูความสามารถของนักบินไทยกัน เก่งสุดๆ..สุดยอดไปเลยค่ะ..
.
.
ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://th.wikipedia.org/

ไปสัมมนา ณ โรงแรมปรินซ์ พาเลซ มหานาค


ไปสัมมนาโครงการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจในการนำแผนบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2552-2555 ไปสู่การปฏิบัติ เมื่อวานนี้ (9ธ.ค.53) ที่โรงแรมปรินซ์ พาเลซ มหานาค จัดโดยสำนักยุทธศาสตร์และประเมินผล ทิพย์เดินทางไปถึงเวลาประมาณ 8.10 น. ซึ่งการสัมมนาจะเริ่มเวลา 8.30 น. ก็เลยมีโอกาสเดินดูสินค้าบริเวณใกล้ๆ กับโรงแรม (ตลาดโบ๊เบ๊) สินค้าที่พ่อค้าแม่ค้านำมาจำหน่ายก็คือเสื้อผ้านั่นเองค่ะ แหม ก็ตลาดโบ๊เบ๊น่ะเป็นแหล่งขายส่งเสื้อผ้านี่คะ ก็เลยมีแต่เสื้อผ้าเต็มไปหมด ทิพย์เดินดูเสื้อผ้าได้ซักพัก(ยังไม่เจอที่ถูกใจ) ก็ต้องรีบขึ้นไปห้องสัมมนาแล้วล่ะคะ

เนื้อหาในการสัมมนาก็เป็นเรื่องการจัดทำแผนปฏิบัติราชการประจำปี พ.ศ.2555 แนวทางจัดทำแผนปฏิบัติราชการประจำปี พ.ศ.2555 ของหน่วยงาน คำอธิบายตัวชี้วัดเพื่อประกอบการประเมินผลการปฏิบัติราชการ รวมถึงตัวชี้วัดเชิงยุทธศาสตร์ของสำนักงานเขต ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2554 ค่ะ

และทิพย์ก็มีข้อคิดดีๆ ที่ได้รับจากวิทยากร คือ ดร.พีระพงษ์ ศิริเกษม ซึ่งเป็นข้อคิดดีๆ สำหรับการจัดทำแผนเพื่อไปสู่มหานครน่าอยู่อย่างยั่งยืน ดังนี้ค่ะ

1. ลองปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ในการมองปัญหาในแบบใหม่
2. นำวิธีการบริหารจัดการความรู้ (KM) เข้ามาช่วย
3. ขจัดกำแพงเพื่อเรียนรู้สิ่งใหม่ มองโลกในแง่บวกมากขึ้น
4. มองความลงตัวในภาพรวม แทนที่จะคอยหาที่ผิดในจุดเล็กๆ
5. สร้างและขยายเครือข่ายผู้ทำงานร่วมกัน และสื่อสารกันให้มากขึ้น
6. เน้นการมีส่วนร่วมจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
7. เน้นการกระจายอำนาจ การเสริมพลัง (Empowerment)

ข้อคิดดีๆ เหล่านี้ นอกจากจะนำมาใช้สำหรับการจัดทำแผนแล้ว ทิพย์คิดว่า เรายังสามารถนำมาปรับใช้หรือปรับทัศนคติในการทำงานของเราได้อีกด้วยค่ะ

หลังจากการสัมมนาเสร็จสิ้นลง ทิพย์ก็มีโอกาสได้เก็บภาพบรรยากาศบริเวณล็อบบี้ชั้น 11 ของโรงแรมมาฝากเพื่อนๆ ด้วยค่ะ แต่เสียดายที่ต้องรีบกลับซะแล้ว ไว้ครั้งหน้าถ้ามีโอกาสได้มาสัมมนาที่นี่อีก ทิพย์จะเก็บภาพบรรยากาศด้านนอกของชั้น 11 มาฝากเพื่อนๆ ให้ได้เลยค่ะ

Wednesday, December 8, 2010

สุขหรือทุกข์..หนทางที่เลือกได้

เมื่อประมาณปลายเดือนที่แล้ว (พ.ย.53) จนถึงต้นเดือนนี้ (ธ.ค.53) เป็นช่วงที่ทิพย์กลับบ้านช้ากว่าปกติเกือบทุกวัน เนื่องจากเป็นช่วงเลือกตั้งซ่อม ส.ส. (เลือกตั้งซ่อม ส.ส. ในวันที่ 12 ธ.ค.53) และก็บังเอิญว่าเย็นวันหนึ่ง ทิพย์เดินผ่านชั้นหนังสือประชาสัมพันธ์ของสำนักงานเขต ซึ่งปกติก็เดินผ่านทุกวันแต่วันนี้มันไม่ปกติก็ตรงที่ว่า มีวารสารฉบับหนึ่งหล่นอยู่ที่พื้น คงเพราะถูกลมพัดตกลงมาจากชั้นหนังสือนั่นเอง ทิพย์ก็เลยกะว่าจะเดินไปหยิบขึ้นไปเก็บไว้ที่เดิม แต่พอหยิบขึ้นมาดู แล้วก็พลิกๆอ่านดูเนื้อหาข้างใน ทำให้ทิพย์เปลี่ยนใจนำวารสารฉบับนี้กลับมาอ่านต่อที่บ้านทันที (ลักษณะเป็นกระดาษคล้ายแผ่นพับ 5 ท่อน มีข้อความหน้าหลัง รวมเป็น 10 หน้า สีสันสวยงาม น่าอ่านดีค่ะ และบนชั้นก็มีวารสารแบบนี้อยู่อีกหลายฉบับค่ะ) แต่ทิพย์ไม่ได้หยิบมาเป็นของตัวเองหรอกนะคะ หลังจากที่นำมาถ่ายทอดให้เพื่อนๆ ได้อ่านกันแล้วก็ต้องนำไปคืนไว้ที่เดิมค่ะ เผื่อว่าประชาชนที่มาติดต่อราชการจะได้อ่านกัน

วารสารฉบับนี้ เป็นวารสารของสำนักยุทธศาสตร์และประเมินผล ปีที่ 3 ฉบับที่ 3 เดือนกรกฎาคม-กันยายน 2553 เนื้อหาภายในส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของแผนยุทธศาสตร์ของกรุงเทพมหานครค่ะ แต่ที่ทิพย์จะนำมาถ่ายทอดให้เพื่อนๆ ได้อ่านกัน เป็นส่วนของเกร็ดน่ารู้ ซึ่งเป็นสาระธรรมจากหลวงพ่อชา ที่ให้ข้อคิดในเรื่องการแสวงหาความสุขของมนุษย์และแง่คิดในเรื่องของการใช้ปัญญาในการใคร่ครวญให้หลุดพ้นจากปัญหาหรือความทุกข์อย่างชาญฉลาดค่ะ

เรื่องที่ 1 คนเลี้ยงไก่

มีคนเลี้ยงไก่ 2 คน คนเลี้ยงไก่คนที่ 1 ทุกเช้าจะเอาตะกร้าเข้าไปในโรงเรือนเลี้ยงไก่ แล้วก็เก็บ "ขี้ไก่" ใส่ตะกร้ากลับบ้าน แล้วทิ้งไข่ไก่ให้เน่าไว้ในโรงเรือน เมื่อเขาเอาขี้ไก่กลับถึงบ้าน ทั้งบ้านก็เหม็นหึ่งไปด้วยกลิ่นขี้ไก่ คนทั้งบ้านต้องทนกับกลิ่นเหม็น

คนเลี้ยงไก่คนที่ 2 เอาตะกร้าเข้าไปในโรงเรือนเลี้ยงไก่ เก็บไข่ไก่ใส่ตะกร้าเอากลับบ้าน เขาเอาไข่ไก่ลงเจียว กลิ่นหอมอบอวลไปทั่วบ้าน คนทั้งบ้านได้กินไข่เจียวแสนอร่อย ไข่ไก่ที่เหลือเขาก็เอาไปขาย แล้วได้เงินมาใช้จ่ายในบ้าน ทุกคนในบ้านมีความสุขมาก..

ในชีวิตคนเรา พวกเราเป็นคนเก็บ "ไข่ไก่" หรือ "ขี้ไก่" เราเป็นคนเก็บ "ขี้ไก่" โดยเฝ้าแต่เก็บเรื่องร้ายๆ แย่ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตของเราไว้ในหัวของเรา และมีความทุกข์ตลอดเวลาที่คิดถึงมัน หรือเราเป็นคนที่เก็บ "ไข่ไก่" เราจดจำสิ่งที่ดีๆ ที่เกิดในชีวิตของเรา และมีความสุขทุกครั้งที่คิดถึงมัน คนเราส่วนใหญ่ชอบเป็นคนเก็บ "ขี้ไก่" เราถึงต้องเป็นทุกข์ตลอดเวลา เรื่องความเสียใจ ความผิดพลาด ความเจ็บใจ ฯลฯ มักจะติดอยู่ในใจของเรานานเท่านาน ถ้าเราอยากมีความสุขในชีวิต เลือกเก็บ "ไข่ไก่" กับชีวิต แล้วทิ้ง "ขี้ไก่" ไปเถอะ ชีวิตของเราจะได้มีความสุขซักที..

เรื่องที่ 2 ปรารถนา "ปัญหา" หรือ "ปัญญา"

คำว่า "ปัญหา" กับ "ปัญญา" นั้นมีความใกล้เคียงกันมาก ต่างกันแค่ตัวเดียวคือ "ห" กับ "ญ" ในชีวิตจริง สิ่งที่เรียกว่า "ปัญหา" นั้นก็อยู่ใกล้กับ "ปัญญา" มากเช่นเดียวกัน เมื่อเกิดปัญหาขึ้นมา แทนที่จะคร่ำครวญหรือตีอกชกหัว ลองใคร่ครวญดูให้ดีจะพบว่า ปัญหาเหล่านี้เป็นสัญญาณเตือนให้เราเปลี่ยนแปลงตัวเอง ถ้าเรามองสัญญาณนี้ออก นั่นแสดงว่าปัญญาได้เกิดแก่เราแล้ว ขั้นต่อไปก็คือ เปลี่ยนทัศนคติ พฤติกรรม หรือการใช้ชีวิตให้ถูกต้อง เหมาะสม และชาญฉลาด ไม่ควรมองว่าปัญหาคือ "ทางตัน" ถ้ามองให้ดี ในตัวปัญหานั้นก็มี "ทางออก" ด้วยเหมือนกัน อย่าลืมว่า สลักที่ล็อคประตูนั้นก็เป็นสลักอันเดียวกับที่ใช้เปิดประตู สวิตซ์ที่ปิดไฟก็เป็นอันเดียวกับที่ใช้เปิดไฟให้สว่าง ฉันใดก็ฉันนั้น ในคำถามก็มีคำตอบเฉลยอยู่

จะว่าไปแล้วปัญหาหรือความทุกข์ทั้งหลายไม่ได้มีไว้ให้คร่ำครวญ แต่มีไว้ให้ใคร่ครวญนั่นเอง ในความทุกข์นั้นก็มีทางออกจากความทุกข์แฝงอยู่เสมอ ความทุกข์มีขึ้นก็เพื่อสอนเราให้รู้จักหลุดพ้นจากความทุกข์ ปัญหาเกิดขึ้น ก็เพื่อสอนเราให้เกิดปัญญา ด้วยเหตุนี้ปัญหาจึงไม่ใช่เรื่องน่ากลัว หากคือครูที่มีมาสอนให้เราฉลาดขึ้นนั่นเอง..

ที่ทิพย์นำเอาสาระธรรมทั้งสองเรื่องนี้มาฝากเพื่อนๆ ก็ด้วยความรักและปรารถนาดี อยากให้เพื่อนๆ ทุกคนมีความสุขค่ะ แต่เพื่อนๆจะสุขได้ก็ต้องนำสาระธรรมนี้ไปปฏิบัติให้ได้ด้วยนะคะ ส่วนทิพย์ต้องขอตัวไปทานไข่เจียวหอมๆ ก่อนนะคะ ได้เวลาอาหารเย็นแล้ว ไปทานข้าวไข่เจียวด้วยกันนะคะเพื่อนๆ ^___^


ขอขอบคุณข้อมูลจาก : วารสารสำนักยุทธศาสตร์และประเมินผล ปีที่ 3 ฉบับที่ 3 เดือนกรกฎาคม - กันยายน 2553

Sunday, November 21, 2010

วันลอยกระทง - ชมโตโยต้า ลีกคัพ 2010 บุรีรัมย์ พีอีเอ-การท่าเรือไทย เอฟซี








วันนี้ (21พ.ย.53) เป็นวันลอยกระทง ซึ่งเป็นประเพณีสำคัญวันหนึ่งของคนไทย ตรงกับวันขึ้น15ค่ำเดือน12 เชื่อกันว่าประเพณีนี้จัดขึ้นเพื่อบูชาและขอขมาต่อพระแม่คงคา แต่ทิพย์ก็ไม่ได้ไปลอยกระทงที่ไหนหรอกค่ะเพื่อนๆ เพราะวันนี้ในช่วงเย็นทิพย์เหน็ดเหนื่อยจากการไปชมการแข่งขันฟุตบอลโตโยต้า ลีกคัพ 2010 รอบชิงชนะเลิศ ระหว่าง บุรีรัมย์ พีอีเอ กับ การท่าเรือไทย เอฟซี ณ สนามกีฬาแห่งชาติ ศุภชลาสัย หรือที่สนามศุภฯนั่นเองค่ะ

ไปครั้งนี้ก็ได้โทรนัดกับเพื่อนเป้า ซึ่งตอนนี้ทำงานอยู่ที่บุรีรัมย์ค่ะ วันนี้ตามมาเชียร์ถึงกรุงเทพฯ ทิพย์ก็ไม่น้อยหน้าเพื่อนหรอกค่ะ แหม คนบุรีรัมย์เหมือนกันนี่คะ ด้วยใจรักจริงๆค่ะ ลงทุนซื้อตั๋วเพื่อเข้าชมในราคา 200 บาท ระหว่างที่รอเพื่อนเป้า (บริเวณหน้าประตู4) ก็มีแฟนบอลของการท่าเรือฯ มาขอถ่ายรูปคู่ด้วย โอ้โห รู้สึกเหมือนเป็นดารายังงัยไม่รู้ ฮ่าๆๆ (เวอร์สุดๆ)

กลับมาพูดถึงบรรยากาศของการแข่งขันฟุตบอลโตโยต้า ลีกคัพ 2010 กันต่อนะคะ เริ่มเกมส์ที่บุรีรัมย์ พีอีเอ เป็นฝ่ายเขี่ยบอลก่อน แต่เล่นไปได้เพียงแค่นาทีที่4เท่านั้น การท่าเรือฯก็เป็นฝ่ายขึ้นนำบุรีรัมย์ พีอีเอ อย่างรวดเร็ว 1-0 แต่พอถึงนาทีที่15 บุรีรัมย์ พีอีเอ ได้ลูกจุดโทษโดยผู้รับหน้าที่สังหารจุดโทษ คือ สุเชาว์ นุชนุ่ม นั่นเองค่ะ ทำให้บุรีรัมย์ พีอีเอ ตามตีเสมอได้ 1-1 เหล่ากองเชียร์ดีใจกันได้ไม่เท่าไหร่ ในนาทีที่27 การท่าเรือฯก็ขึ้นนำอีกครั้งเป็น 2-1 จนหมดเวลาครึ่งแรก การท่าเรือฯ นำ บุรีรัมย์ พีอีเอ 2-1

ในช่วงพักครึ่งแรกก็มีการแสดงมินิคอนเสิร์ตของนักร้องขวัญใจชาวเพื่อชีวิต พี่แอ๊ด คาราบาว ซึ่งเป็นผู้ขับร้องเพลงประจำการแข่งขันฟุตบอลโตโยต้า ลีกคัพ นั่นเองค่ะ ก็เป็นที่ถูกใจกองเชียร์ชาวบุรีรัมย์ และสร้างความคึกคักภายในสนามได้มากเลยค่ะ

เกมส์ในครึ่งหลัง บุรีรัมย์ พีอีเอ ก็บุกเต็มที่ (ทิพย์ตะโกนเชียร์จนเจ็บคอกันเลยทีเดียว ลุ้นให้ตีเสมอให้ได้) แต่จนแล้วจนรอดก็ตามตีเสมอไม่ได้ซักที ครบ 90 นาที เกมส์ก็จบลงด้วยชัยชนะของการท่าเรือฯ 2-1 อกหักกันไปตามระเบียบ ได้รองแชมป์อีกแล้ว ครั้งที่แล้ว ไทยแลนด์ พรีเมียร์ลีก ก็รองแชมป์ เฮ้อ! แต่ไม่เป็นไรค่ะ นักเตะทุกคนทำเต็มที่แล้ว ปีหน้าเอาใหม่ค่ะ สู้ต่อไปเถอะ บุรีรัมย์ พีอีเอ

หลังจากที่การแข่งขันจบลง ทิพย์กับเพื่อนเป้าก็แยกย้ายกันที่หน้าสนามศุภฯ เพื่อนเป้าขึ้นรถทัวร์กลับบุรีรัมย์ ส่วนทิพย์ขึ้นรถไฟฟ้าไปลงที่สถานีตากสิน ก่อนอื่นก็ต้องหาอะไรกินก่อน (ด้วยความหิวโซ..กินข้าวเช้า+เที่ยงประมาณ11โมง มาถึงสถานีตากสินก็ทุ่มครึ่่งแล้ว) ที่บริเวณท่าเรือตากสินได้มีการจัดงานวันลอยกระทงของเขตบางรัก มีร้านจำหน่ายสินค้าเต็มไปหมด ผู้คนก็เยอะมาก เดินเบียดเสียดกันเลยทีเดียว ติดกับท่าน้ำก็มีการแสดงโขนด้วยค่ะ ทิพย์เดินดูได้ไม่ทั่วงานหรอกค่ะ ก็อย่างที่บอกไปตั้งแต่แรกนั่นแหละว่า ทิพย์เหนื่อยล้าจากการเชียร์ฟุตบอลมานั่นเอง ก็เลยตัดสินใจไม่เดินต่อ กลับไปนั่งเลียแผลใจที่ห้องดีกว่า (หลังจากที่อกหักจากการแข่งขันในช่วงเย็น พอเกมส์จบก็นับศพทหารได้เลยค่ะ ตายเป็นเบือ!)

สุขสันต์วันลอยกระทงนะคะเพื่อนๆ อ้อ ก่อนไปก็ขอแนะนำเพลงรำวงบุรีรัมย์ ให้เพื่อนๆรู้จักกันหน่อยค่ะ (เด็กบุรีรัมย์ถ้าไม่รู้จักเพลงนี้อ่ะ เชยๆๆๆ) แหม! นี่ถ้ามีโอกาสเจอกันกับเพื่อนๆ ทิพย์จะร้องเพลงนี้ให้ฟังเลยนะคะเนี่ย ^^

บุรีรัมย์ เดี๋ยวนี้เลิกตำน้ำกิน
ท้องฟ้าก็มีนกบิน บนดินก็มีข้าวเหนียว
สาวสวยแก้มเรื่อ ไม่เชื่อก็ลองมาเที่ยว
อีสาณกำลังสีเขียว *ขอเชิญมาเที่ยวบุรีรัมย์ (ซ้ำ*)

ผ่านมาอีสาณเชิญแวะบ้านหมู่เฮา
ปวดหนักปวดเบา แวะกินข้าวกินน้ำ
ตัวดำแต่ใจขาว นั่นหนอชาวบุรีรัมย์
เช้าสายบ่ายค่ำ **ก็ไม่เคยตำน้ำกิน (ซ้ำ**)

Wednesday, November 10, 2010

COMMART COMTECH THAILAND'10 - ไปชมงานคอมมาร์ทที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์




งาน COMMART COMTECH THAILAND'10 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 3-7 พฤศจิกายน 2553 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เหตุที่ทำให้ทิพย์ต้องไปงานนี้ก็เนื่องมาจากทิพย์ขายโน้ตบุ๊คของทิพย์ให้เพื่อนไป แต่ไม่ได้ขายแอร์การ์ดไปด้วย ทำให้เล่นเน็ตไม่ได้ แล้วเพื่อนก็บ่นจังว่าไม่มีเวลาไปซื้อ ทำงานอยู่นอกเมือง ห่างไกลความเจริญ คน(เกือบ)สวยและน้ำใจงามอย่างทิพย์ได้ยินแล้วก็ทนฟังไม่ได้(ประมาณว่ารำคาญ ฮ่าๆๆ) ก็เลยอาสาไปซื้อให้ (อย่าเข้าใจผิดว่าทิพย์จะเป็นแม่พระใจบุญขนาดนั้น ไม่ได้ให้ฟรีหรอกค่ะเพื่อนๆ เห็นใจดีแบบนี้ ก็งกเป็นเหมือนกันนะ อิอิ..) และที่สำคัญที่สุดคือ การไปชมงานในครั้งนี้ทำให้ทิพย์มีเรื่องมาเล่าให้เพื่อนๆ ฟังในวันนี้นั่นเองค่ะ

วันเสาร์(6พ.ย.53) หลังเลิกงานก็รีบไปศูนย์ฯสิริกิติ์ทันที ไปถึงก็ตรงไปที่โซนแสดงคอมฯก่อนเลย(ชั้น2) คนเยอะมากกกกกกก..(ดูจากรูปสิคะ เดินแทบจะเบียดกันเลย) มีคอมพิวเตอร์และโน้ตบุ๊กทุกยี่ห้อเลย ไม่ว่าจะเป็นยี่ห้อ HP DELL LENOVO ASUS ACER SONY SAMSUNG ฯลฯ โดยเฉพาะโน้ตบุ๊กรุ่นที่ทิพย์ขายให้เพื่อนไป ทิพย์ซื้อมาเมื่อสองเดือนก่อน ที่งานนี้ราคาลดลงเป็นพันเลย (นี่เพื่อนยังไม่รู้นะเนี่ย..ขอโทษด้วยนะคะคุณเพื่อน เราไม่ได้ตั้งใจจะขายให้แพงเท่าราคามือใหม่เลยจริงๆ) ที่ชั้นนี้ นอกจากจะจัดแสดงและจำหน่ายโน้ตบุ๊กแล้ว ยังมีโปรแกรมคอมพิวเตอร์ โปรแกรมป้องกันไวรัส กล้องถ่ายภาพ อุปกรณ์คอมพิวเตอร์หลากหลายยี่ห้อมาจำหน่ายด้วยค่ะ

หลังจากที่เดินดูที่ชั้น 2 จนทั่วแล้วก็ลงไปที่ชั้น 1 บริเวณนี้มีร้านขายอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์เสริมต่างๆ มาจำหน่ายเยอะแยะมาก ผู้คนก็เดินเบียดเสียดกัน(เหมือนตลาดนัดสวนจตุจักรตอนเย็นวันอาทิตย์ยังงัยยังงั้นเลยค่ะ) และแล้วทิพย์ก็เจอร้านขายแอร์การ์ดร้านหนึ่ง เหตุที่ซื้อร้านนี้เพราะอยู่ติดกับร้านจำหน่ายซิมเน็ตของดีแทค ซื้อแอร์การ์ดแล้วก็ซื้อซิมเน็ตไปด้วยเลย ประกอบกับความเมื่อยล้าจากการเดินมาเป็นชั่วโมงก็เลยตัดสินใจซื้อร้านนี้นั่นเองค่ะ
.
หลังจากที่ได้แอร์การ์ดแล้ว สิ่งหนึ่งที่ทิพย์ไม่เคยลืมเลย ก็คือการเก็บภาพบรรยากาศของงานมาฝากเพื่อนๆ อีกเช่นเคย เพื่อนๆ คนไหนที่พลาดงานคอมมาร์ทครั้งนี้ อย่าเพิ่งเสียใจไปนะคะ ไว้ครั้งหน้าทิพย์จะรีบนำข่าวมาบอกเพื่อนๆ ก่อนใครเลยค่ะ

Thursday, November 4, 2010

น้ำท่วมภาคใต้ - หาดใหญ่จมบาดาล




ครั้งก่อนทิพย์ได้เล่าให้เพื่อนๆ ฟัง ถึงเรื่องน้ำท่วมใหญ่ที่โคราชไปแล้ว มาครั้งนี้ก็จะพาเพื่อนๆ ลงใต้กัน เพราะช่วงนี้หลายจังหวัดทางภาคใต้ของเรากำลังประสบกับภาวะน้ำท่วมหนัก หลังจากที่หลายจังหวัดของภาคอีสานและภาคกลางต้องประสบกับอุทกภัยกันถ้วนหน้า แม้ว่าในตอนนี้ในบางพื้นที่ของภาคอีสานและภาคกลางที่ถูกน้ำท่วมนั้น ระดับน้ำได้ลดลงไปบ้างแล้ว แต่หลายหน่วยงานก็ระดมกำลังเร่งฟื้นฟูสภาพอาคารบ้านเรือนที่ได้รับความเสียหาย รวมถึงทำความสะอาดถนนหนทาง เก็บกวาดขยะ สิ่งปฏิกูล กันอย่างเต็มที่ เห็นภาพข่าวแล้วก็ต้องขอชื่นชมในความเสียสละร่วมแรงร่วมใจกันของทุกคนค่ะ

ทิพย์เองก็ได้ติดตามสถานการณ์น้ำท่วมมาโดยตลอด โดยเฉพาะล่าสุดที่น้ำท่วมหนักที่ตัวเมืองหาดใหญ่ จ.สงขลา ซึ่งเหตุการณ์น้ำท่วมในครั้งนี้มีสาเหตุมาจากอิทธิพลของพายุดีเปรสชั่น ทำให้บางแห่งน้ำท่วมสูงถึงเกือบสามเมตร เส้นทางถูกตัดขาด ผู้คนนับหมื่นคนติดค้างอยู่ภายในบ้าน ระบบสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ล่มติดต่อสื่อสารไม่ได้ ความช่วยเหลือไม่สามารถเข้าไปถึง เนื่องจากระดับน้ำสูงและน้ำไหลเชี่ยวมาก และในวันนี้ (4พ.ย.53) ระดับน้ำที่ท่วมสูงเริ่มลดลงแล้ว ประชาชนเริ่มมาเก็บกวาดขยะ ทำความสะอาดบ้านเรือน แม่ค้าที่ค้าขายอยู่ในตลาดกิมหยง ซึ่งเป็นแหล่งการค้าสำคัญใจกลางเมืองหาดใหญ่ ก็ทยอยเข้าเปิดร้านทำความสะอาด เช็คสภาพสินค้า บางส่วนก็นำมาขายลดราคาแบบยอมขาดทุนกันเลยทีเดียว ส่วนในบางพื้นที่ที่ยังมีน้ำท่วมขังอยู่ ทางเจ้าหน้าที่ก็เร่งสูบน้ำเพื่อระบายน้ำลงทะเลอย่างเร่งด่วน และคาดว่าน้ำจะลดลงจนแห้งสนิทภายในสัปดาห์นี้

เหตุการณ์น้ำท่วมภาคใต้ครั้งนี้ มีเหตุการณ์ที่น่าเศร้าสลดเกิดขึ้นคือ การเสียชีวิตของปลัดอำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา ซึ่งเกิดอุบัติเหตุเรือล่มขณะเข้าไปให้ความช่วยเหลือชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อนจากอุทกภัยเมื่อกลางดึกวันที่ 1พ.ย.53 ก่อนเกิดเหตุปลัดอำเภอผู้นี้เร่งรีบที่จะไปช่วยเหลือชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อนจนลืมสวมชูชีพฝ่ากระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวและแรงมาก กระแสน้ำได้พัดจนเรือโดยสารล่มและเป็นเหตุให้ตัวเองต้องเสียชีวิตในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ นับเป็นตัวอย่างของบุคคลซึ่งเสียสละเพื่อส่วนรวม เป็นตัวอย่างของข้าราชการที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มความสามารถไม่ห่วงชีวิตตัวเอง ขอชื่นชมจากใจจริงค่ะ

ถึงอย่างไรน้ำใจของชาวไทยก็ไม่เคยแห้งเหือด ความช่วยเหลือต่างๆ ข้าวของบริจาคยังคงทยอยสู่พี่น้องที่ได้รับความเดือดร้อนอย่างไม่ขาดสาย หากเพื่อนๆ ต้องการบริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย สามารถบริจาคได้ที่ ธนาคารกรุงไทย ซึ่งเปิดบัญชีช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย เป็นบัญชีประเภท KTB Charity Account ในนาม "ธนาคารกรุงไทยช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม" สามารถบริจาคได้ทุกสาขา ไม่เสียค่าธรรมเนียมโอนเงิน ไม่ต้องจำชื่อบัญชี เลขที่บัญชี และชื่อสาขา โดยเงินบริจาคทั้งหมดจะถูกนำส่งกระทรวงการคลัง เพื่อนำไปบรรเทาความเดือนร้อนของผู้ประสบภัยค่ะ

ทิ้งทายกันนิดด้วยข่าวฮอตของคนฮอตอย่างคุณสรยุทธ์ สุทัศนะจินดา ผู้ประกาศข่าว พร้อมทีมงานของช่อง 3 ซึ่งในขณะนี้หลายๆ คนดูเหมือนจะยกให้เป็นฮีโร่ไปซะแล้ว ด้วยความที่คุณสรยุทธ์และทีมงานลงลุยไปทุกพื้นที่ที่ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนจากอุทกภัยในครั้งนี้ ทั้งนำเสนอข่าวและช่วยเหลือชาวบ้านจนกลายเป็นขวัญใจของผู้ประสบภัยไปแล้ว ถ้าเพื่อนๆ ได้เข้่าไปอ่านในเว็บบอร์ดหลายๆเว็บ จะทราบว่าฮิตฮอตแค่ไหน บางคนยกให้เป็นฮีโร่ บางคนถึงขั้นบอกว่า ถ้าสมัยหน้าคุณสรยุทธ์ลงสมัครรับเลือกตั้งรับรองว่าได้เป็นนายกแน่นอน..ก็ว่ากันไปค่ะ แต่เมื่อเช้านี้ทิพย์ดูรายการเรื่องเล่าเช้านี้ ของทางช่อง 3 คุณสรยุทธ์ได้ออกมาพูดแล้วว่า ตนทำตามหน้าที่เพื่อนำเสนอข่าวและช่วยเหลือชาวบ้านด้วย ไม่อยากให้เอาไปเปรียบกับทางหน่วยงานราชการ ตนทำหน้าที่ของสื่ออะไรที่ช่วยเหลือกันได้ก็ทำอย่างเต็มที่ไม่รั้งรอ หน่วยงานราชการหลายๆ หน่วยก็ทำงานกันอย่างเต็มที่เหมือนกัน..เห็นไหมล่ะคะ ว่าเขาฮอตแค่ไหน

ในความเห็นของทิพย์ไม่ว่าคุณสรยุทธ์หรือใครหรือหน่วยงานไหนก็ตาม ในเวลานี้ทุกคนต่างช่วยกันอย่างเต็มที่ ไม่อยากให้นำมาเปรียบเทียบกัน หรือคิดว่าสือทำหน้าที่ได้ดีกว่ารัฐบาล หรือสื่อสามารถเร่งระดมความช่วยเหลือและกระจายไปสู่ผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนได้เร็วกว่ารัฐบาล หากการที่สื่อให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ได้รับความเดือดร้อนเร็วกว่ารัฐบาลจริง ก็เป็นการดีที่จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนเฉพาะหน้า และตามด้วยการช่วยเหลือจากภาครัฐ การเยียวยา และแก้ไขปัญหาที่จะเกิดขึ้นภายหลังจากเหตุการณ์อุทกภัยได้ผ่านพ้นไป ความร่วมมือ ร่วมแรง ร่วมใจ ต่างหากล่ะคะที่เราทุกคนควรจะคิดและลงมือทำ


ขอขอบคุณข้อมูลจาก

ขอขอบคุณภาพจาก


Monday, November 1, 2010

งานบ้านและสวนแฟร์2010 - เมืองทองธานี







เมื่อวาน(วันอาทิตย์ที่31ต.ค.53) มีโอกาสได้ไปงานบ้านและสวนแฟร์2010 ณ อาคารชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 30ต.ค.53-7พ.ย.53 ทิพย์ได้นัดกับน้องเบียร์ไว้ล่วงหน้าเป็นเดือนจนลืมไปแล้วว่ามีนัดไปงานนี้ นึกได้อีกทีก็ตอนที่น้องเบียร์โทรมาหานั่นแหละ อ้อ ต้องแนะนำตัวน้องชายกันนิดนึง น้องเบียร์เป็นเด็กบุรีรัมย์ (ประมาณว่าคนบ้านเดียวกัน) ตอนนี้กำลังเรียนครุศาสตร์สถาปัตย์ อยู่ที่ ม.พระจอมเกล้าลาดกระบัง ชอบแต่งบทกวี ชอบถ่ายภาพเป็นชีวิตจิตใจ (โดยเฉพาะตัวเอง..อ้อ ไม่ใช่ๆ ถ่ายภาพทุกอย่างที่ขวางหน้า) เท่าที่เคยเห็นผลงานฝีมือแต่งภาพกราฟฟิคใช้ได้เลยน่ะ..เป็นน้องชายที่นิสัยดี ขยันและตั้งใจเรียน และออกแนวเพ้อฝันนิดนึง 555+ ยังงัยก็ขอให้ตั้งใจเรียนต่อไป จะได้มีอนาคตที่ดี ขอให้ได้เป็นครูอย่างที่ตั้งใจไว้ละกัน สู้ๆ..


หลังจากที่แนะนำน้องชายไปแล้ว ก็กลับมาเล่าต่อถึงบรรยากาศของงานบ้านและสวนแฟร์2010 กันต่อ เดินทางถึงเมืองทองฯ ก็ได้เวลาเปิดเข้าชมงานพอดี (9.30น.) ก่อนเข้างานก็ไม่ลืมไปลงทะเบียนที่จุดรับลงทะเบียนกันก่อน (รับแจกหนังสือฟรี) เริ่มสำรวจบริเวณงานกันที่บริเวณจัดการประกวดสวนแห่งความทรงจำ ที่จุดนี้จะมีสติ๊กเกอร์ให้ผู้ที่มาเยี่ยมชมงานนำไปติดหน้าป้ายของสวนที่ประกวด ซึ่งมีทั้งหมด 10 สวน..แอบบอกว่าทิพย์โหวตให้ "สวนบ้านนอก" (ในรูปที่มีจักรยานค่ะ) เหตุผลที่โหวต(ติดสติ๊กเกอร์ให้)ก็ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ ชอบนั่นเองค่ะ คือ เห็นแล้วรู้สึกคิดถึงบ้าน ให้ความรู้สึกสงบ เหมือนได้กลับไปอยู่ที่บ้าน ส่วนน้องชายเห็นบอกว่าชอบน้ำก็เลยไปโหวตให้สวนอื่นไป


ถ่ายภาพสวนกันจนพอใจก็เดินไปต่อที่บริเวณประกวดกล้วยไม้ บอกได้เลยว่า กล้วยไม้แต่ละต้นที่เข้าประกวด สวยมากๆ เลยค่ะ ด้วยความที่ทิพย์ชอบกล้วยไม้เป็นชีวิตจิตใจอยู่แล้ว ก็เลยกดชัตเตอร์เป็นว่าเล่น ได้ภาพมาเพียบ..จนน้องต้องตะโกนเรียกว่าพอได้แล้วพี่ไปจุดอื่นกันต่อ เดี๋ยวจะเดินดูได้ไม่ครบทุกจุด ถ้าเวลาเหลือค่อยเดินมาถ่ายภาพกันใหม่ ก็เลยจำเป็นต้องตัดใจจากกล้วยไม้ไปก่อน (เฮ่อ..สุดท้ายก็ไม่ได้กลับมาถ่ายภาพกล้วยไม้อีกหรอกค่ะเพื่อนๆ พอเดินจนครบทุกจุดแล้ว ก็ได้เวลากลับพอดี)


ที่บริเวณจำหน่ายพรรณไม้ มีพรรณไม้มาแสดงและจำหน่ายเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นไม้ดอก ไม้ประดับ รวมไปถึงผักและผลไม้บางชนิด เช่น พริก ฝรั่ง ละมุด แต่ร้านที่ทิพย์หยุดชมก็คงไม่พ้นร้านจำหน่ายกล้วยไม้อีกนั่นแหละค่ะ สวยๆทั้งนั้น เลือกไม่ถูก (สุดท้ายก็เลยไม่ได้กลับมาสักต้นเลย555+)


ไปกันต่อที่บูธรับจัดและตกแต่งสวน จุดนี้ก็สวยจริงๆค่ะ โดยเฉพาะบูธที่ตกแต่งด้วยม่านน้ำ พรรณไม้ และแสงไฟ สวยงามทีเดียวค่ะ


และแล้วก็มาถึงบริเวณจัดแสดงบ้านตัวอย่าง ซึ่งเป็นไฮไลน์ของงานเลยค่ะ เป็นการจัดแสดงบ้านตัวอย่างในแนวคิด "อ่อนน้อมต่อธรรมชาติ" และตรงจุดนี้ก็มีหลายบริษัทนำผลงานมาแสดงและให้คำปรึกษาเรื่องการสร้างบ้านและตกแต่งบ้าน มีหลายแบบ หลายสไตล์ แล้วแต่ความชอบของลูกค้าค่ะ มีทั้งบ้านน็อคดาวน์ที่สามารถถอดประกอบได้ (ทิพย์เข้าไปชมภายในบ้านแล้วน่ารักดีค่ะ ขนาดกะทัดรัดเหมาะแก่การอยู่คนเดียว) มีบ้านไม้แดง เป็นบ้าน 2 ชั้น ทำจากไม้แดงทั้งหลัง ขนาดกำลังดี เป็นสัดส่วนมีซุ้มอยู่ข้างๆบ้าน (เห็นแล้วก็อยากได้ซักหลังค่ะ..ชอบที่สุดในบรรดาบ้านตัวอย่างที่นำมาจัดแสดง) นอกจากนี้ก็ยังมีบ้านตัวอย่างอีกหลายหลังค่ะ เพื่อนๆต้องไปชมกันเอาเอง บอกได้เลยค่ะว่าสวยทุกหลัง แล้วแต่ว่าใครจะชอบแบบไหนค่ะ


นอกจากจะมีบ้านตัวอย่างและสวนมาจัดแสดงแล้ว ยังมีของตกแต่งบ้านหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น ประตูบ้าน รั้วบ้าน อ่างอาบน้ำ ผ้าม่าน โซฟา และอีกมากมาย บรรยายไม่หมดค่ะ ไว้ให้เพื่อนๆ ไปชมเองดีกว่า ยิ่งถ้าเพื่อนๆ ชอบตกแต่งบ้านด้วยแล้วล่ะก็ รับรองเลยว่าต้องอดใจไม่ไหว คงได้ของติดไม้ติดมือมาเยอะแยะเลยล่ะค่ะ


ถึงงานนี้ทิพย์จะไม่ได้ซื้อของตกแต่งบ้านมาเลย นอกจากปุ๋ยใส่กล้วยไม้ที่เลี้ยงไว้หลังห้อง และนิตยสารอีกหนึ่งเล่ม แต่ที่ทิพย์ได้กลับมาแน่นอนคือ ภาพความประทับใจในความสวยงามของสวนสวย กล้วยไม้งาม รวมถึงภาพบรรยากาศของงาน ซึ่งได้นำมาเป็นของฝากให้กับเพื่อนๆ ยังงัยล่ะคะ

Friday, October 29, 2010

ขึ้นศาลครั้งแรกในชีวิต..


ไปขึ้นศาลครั้งแรกในชีวิต เมื่อวันที่ 26 ต.ค.53 ที่ศาลแขวงพระนครใต้ ซอยเจริญกรุง72/1 ถ.เจริญกรุง เหตุที่ต้องไปขึ้นศาลในครั้งนี้ก็เนื่องมาจากเรื่องงานค่ะ ประชาชนเขาฟ้องร้องกันแล้วอ้างเรา(หน่วยงาน)เป็นพยาน และทิพย์ก็ได้รับมอบหมายให้ไปเป็นพยานที่ศาลในครั้งนี้นั่นเองค่ะ
.
ไปถึงศาลก็ประมาณแปดโมงครึ่ง โอ้โห ที่ศาลน้ำท่วมค่ะเพื่อนๆ สงสัยจะเป็นช่วงเวลาที่น้ำขึ้นพอดี ทีแรกก็ตกใจ นึกว่าจะเข้าศาลไม่ได้ แต่เจ้าหน้าที่รปภ.บอกว่า เข้าได้แต่ต้องลุยน้ำกันนิดหน่อย ก็ไม่เป็นไรค่ะ ไปถึงทันเวลาเป็นอันใช้ได้ เห็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายโยธาเขตเรา(บางคอแหลม)เข้ามาดูแล ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์อย่างนี้ก็น่าชื่นชมค่ะ
.
หลังจากที่ทำหน้าที่เสร็จเรียบร้อยก็ได้เวลาอาหารเที่ยงพอดี (น้ำก็ลดลง ไม่ท่วมแล้วค่ะ) น้องเขมบอกว่าระหว่างที่รอทิพย์ ได้เดินไปเจอร้านข้าวแกงอยู่ริมน้ำ บรรยากาศดี ทิพย์ก็เลยบอกว่าให้นำทางไปเลย เพราะต้องรีบกลับเข้าสำนักงานในช่วงบ่าย

พอเดินลงจากศาลก็เลี้ยวขวา เดินอีกนิดเดียวก็ถึงร้านแล้วค่ะ อาหารที่นี่ราคาไม่แพง รสชาติก็ใช้ได้ แต่ที่ชอบก็คือบรรยากาศริมแม่น้ำนี่แหละ ช่วยทำให้เจริญอาหารจริงๆ นั่งทานไปมองแม่น้ำเจ้าพระยาไปข้าวหมดจานตอนไหนก็ไม่รู้ ฮ่าๆๆ ทิพย์แอบไปกระซิบถามแม่ค้าว่า เปิดขายทุกวันหรือเปล่า แม่ค้าบอกว่า เปิดวันจันทร์ถึงวันเสาร์ ก็เลยบอกแม่ค้าไปว่า แล้วจะมาอุดหนุนบ่อยๆ เป็นลูกค้าขาประจำกันไปเลย เพราะอยู่ไม่ไกลจากที่พัก แม่ค้าก็อัธยาศัยดี เป็นกันเองดีค่ะ
.
ถ้าวันไหนว่างๆ เพื่อนๆน่าจะลองไปนั่งทานดูนะ ไม่แน่นะคะ เพื่อนๆอาจจะชอบบรรยากาศของที่นี่เหมือนทิพย์ และอาจกลายเป็นลูกค้าขาประจำของที่นี่เลยก็ได้ (ไม่ได้รับค่าโฆษณาจากทางร้านแต่อย่างใด เป็นความชื่นชอบส่วนตัวจริงๆค่ะ)

Wednesday, October 20, 2010

รุมตบนักเรียนหญิงหน้าห้างดัง..สะท้อนเยาวชนขาดจริยธรรม

วันนี้ (20ต.ค.53) นัดกับพี่แป้นว่าจะไปเดอะมอลล์กัน พี่แป้นบ่นอยากกินก๋วยเตี๋ยวเนื้อเจ้าอร่อย ที่จริงทิพย์ก็อยากจะลองชิมดูมั่งเหมือนกัน นี่ถ้าไม่ติดว่าทิพย์ตั้งใจไว้ว่าจะไม่กินเนื้ออีก คงต้องได้ลองชิมดูสักชามล่ะ เห็นพี่แป้นกับฝ่ายชมกันจังว่าอร๊อยยยย อร่อย (ฝ่ายเชาวนาทก็ไปด้วยนะ แถมเป็นเจ้ามือเลี้ยงข้าวมื้อนี้อีก ขอบคุณนะคะ)

หลังจากกินข้าวเสร็จ ฝ่ายก็แยกตัวกลับก่อนเนื่องจากติดภารกิจทางบ้าน ทิพย์กับพี่แป้นก็พากันเดินดูนู่นดูนี่กันไปเรื่อยประสาผู้่หญิงอ่ะนะ แหม..ก็ผู้หญิงกับเรื่องช็อปปิ้งน่ะ เป็นของคู่กัน

เดินกันจนเมื่อยก็ถึงเวลากลับ ระหว่างที่ยืนรอรถก็มีเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น เด็กนักเรียนหญิงคนหนึ่งถูกกลุ่มเด็กผู้หญิงวัยเดียวกัน(อายุประมาณ 14-16 ปี) ประมาณ 5-8 คน รุมตบ ขณะเกิดเหตุทิพย์ได้ยินเสียงแม่ค้าที่อยู่ในที่เกิดเหตุตะโกนไล่และมีผู้ชายคนหนึ่งวิ่งเข้ามาห้าม เด็กผู้หญิงกลุ่มนั้นจึงพากันวิ่งหนีไป

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นว่า ตอนนี้สังคมกำลังป่วยหนัก เยาวชนขาดความรู้สึกผิดชอบชั่วดี ไม่เกรงกลัวต่อความผิด ขาดความยับยั้งชั่งใจ มีพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรง

ทิพย์คิดว่าสาเหตุส่วนใหญ่อาจเกิดจากปัญหาต่างๆ เช่น

1. เศรษฐกิจภายในครอบครัว หลายครอบครัว พ่อแม่ต้องดิ้นรน ปากกัดตีนถีบ ทำงานหาเลี้ยงชีพ ไม่มีเวลาดูแลบุตรหลานของตน ปล่อยปละละเลยขาดการอบรม เด็กจึงไม่รู้ว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดผิด สิ่งใดควรทำ ไม่ควรทำ

2. ความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ในโลกยุคไร้พรมแดน ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ใดสามารถรับรู้ข่าวสารต่างๆ ได้อย่างทั่วถึง แต่ในขณะเดียวกันเทคโนโลยีก็ส่งผลด้านลบต่อสังคมได้เช่นกัน เด็กหลายคนติดอินเตอร์เน็ต ติดแชท ติดเกมส์ออนไลน์ เสี่ยงต่อการถูกล่อลวง เกิดพฤติกรรมเลียนแบบความรุนแรงจากเกมส์คอมพิวเตอร์ ขาดการเรียนรู้และปรับตัวในโลกของความเป็นจริง

3. ด้านการจัดการศึกษา ระบบการศึกษาในปัจจุบันมุ่งเน้นให้เด็กเรียนเก่ง จบมาจะได้ทำงานที่ได้เงินเยอะๆ ไม่ค่อยมุ้งเน้นเรื่องคุณธรรม จริยธรรม ในความคิดของทิพย์คิดว่ามันเป็นอะไรที่ฉาบฉวยไม่ลึกซึ้ง เมื่อก่อนตอนทิพย์เด็กๆ ตอนเช้าเวลาแปดโมงเช้าต้องเข้าแถวเคารพธงชาติ สวดมนต์ ยืนทำสมาธิ และฟังคุณครูอบรมสั่งสอนก่อนแยกย้ายเข้าห้องเรียน เลิกเรียนสี่โมงเย็นก็ต้องสวดมนต์ก่อนกลับบ้าน ทุกวันศุกร์ เวลาบ่ายสามโมง นักเรียนทุกคนต้องมายืนเรียงแถวหน้าห้องเพื่อสวดมนต์และนั่งสมาธิ ฟังคุณครูบรรยายเรื่องคุณธรรม จริยธรรม บางทีก็จะมีพระสงฆ์มาบรรยายธรรมะ ถึงวันพระคุณครูก็พานักเรียนไปช่วยกันทำความสะอาดวัด ทำนุบำรุงพระศาสนา ทั้งหมดที่ทิพย์พูดมาชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างของระบบการจัดการศึกษาในอดีตกับปัจจุบัน ซึ่งการศึกษาในปัจจุบันมุ่งเน้นด้านวัตถุมากกว่าด้านจิตใจ

ปัญหาเหล่านี้ควรได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วนค่ะ และทิพย์ก็เชื่อว่าปัญหาทุกอย่างย่อมแก้ไขได้อย่างแน่นอน หากทุกภาคส่วนร่วมมือกัน ไม่ใช่ทำเพียงแค่ส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือด้านใดด้านหนึ่ง การให้ความสำคัญกับเยาวชนเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะเยาวชนคืออนาคตของชาติ..ชาติไทยเราจะเป็นอย่างไรถ้าปล่อยให้เยาวชนของชาติขาดจริยธรรม?

Tuesday, October 19, 2010

น้ำท่วม ใครว่าดีกว่า ฝนแล้ง..แด่..โคราช เมืองบาดาล..


ตอนนี้เปิดทีวีช่องไหน เราก็จะได้พบเห็นกับภาพข่าวน้ำท่วม โดยเฉพาะที่อำเภอเมืองนครราชสีมา น้ำเข้าท่วมตัวเมืองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โรงพยาบาลใหญ่ๆ อย่างเช่น รพ.มหาราช ก็ต้องเร่งขนย้ายผู้ป่วยส่งต่อให้โรงพยาบาลใกล้เคียงที่ไม่ประสบกับภาวะน้ำท่วมกันอย่างทุลักทุเล เห็นภาพข่าวแล้วน่าเอน็จอนาถใจ ผู้คนเดือดร้อน ไร้ที่อยู่อาศัย บ้านเรือนจมอยู่ใต้บาดาล ทรัพย์สิน สัตว์เลี้ยง พืชผลการเกษตร เสียหายไปหมด

ในขณะที่ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก ธารน้ำใจจากชาวไทยก็ไหลเข้าช่วยเหลืออย่างไม่ขาดสาย สิ่งของบรรเทาทุกข์ ถุงยังชีพ ข้าวสาร อาหารแห้ง จำนวนมาก ถูกแจกจ่ายให้กับชาวบ้านอย่างต่อเนื่อง เห็นแล้วซาบซึ้งในน้ำใจของคนไทยจริงๆค่ะ

แต่ทิพย์ก็อดสงสัยไม่ได้จริงๆ ค่ะว่า ทำไมน้ำท่วมโคราชได้ทั้งๆที่โคราชเป็นที่ราบสูงแท้ๆ

จากที่ทิพย์ได้ติดตามข้อมูลข่าวสารมาโดยตลอด ทำให้ทราบว่า สาเหตุใหญ่ๆ ของวิกฤติน้ำท่วมในครั้งนี้ก็คือ น้ำป่าจากเขาใหญ่ และพายุฝน ซึ่งเกิดฝนตกตลอด 2-3 วัน ทำให้ปริมาณน้ำมากเกินกำลังที่เขื่อนต่างๆจะเก็บกักน้ำไว้ได้ โดยเฉพาะเขื่อนลำพระเพลิงที่ไม่สามารถรองรับปริมาณน้ำได้อีก จำเป็นต้องปล่อยน้ำเข้าสู่พื้นที่ใต้เขื่อน ทำให้น้ำท่วมสูงขึ้น ไหนจะเขื่อนลำตะคองที่ต้องระบายน้ำออกเนื่องจากกลัวว่าเขื่อนจะแตก ถึงแม้จะได้มีการออกมาประกาศเตือนภัยให้ประชาชนเร่งอพยพขนข้าวของขึ้นสู่ที่สูงแล้วก็ตาม แต่ปริมาณน้ำที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วขนาดนั้นใครจะหนีทันล่ะคะ (จากภาพข่าวที่ได้เห็น น้ำไหลเชี่ยวน่ากลัวมากค่ะเพื่อนๆ)

สิ่งหนึ่งที่ทำให้ทิพย์สะดุดและหยุดคิดก็คือ น้ำท่วมครั้งนี้หรือจะเป็นเพราะธรรมชาติเอาคืน ก็บุกรุกถมที่ เข้าครอบครองพื้นที่ ตัดไม้ทำลายป่ากันนักนั่นไงคะเพื่อนๆ ไปดูเอาเถอะว่าเขาใหญ่ตอนนี้สภาพเป็นยังงัย บางที่โล่งเตียน บางที่มีรีสอร์ท สนามกอล์ฟ มั่งล่ะ ฝีมือใครกันล่ะคะ ถ้าไม่ใช่นายทุนและชาวบ้านบางส่วนที่หลงผิดและรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ผลลัพท์ก็เป็นอย่างที่เห็น เกิดน้ำท่วมใหญ่ ผู้คนที่ได้รับความเดือดร้อน เราจะเอาแต่โทษธรรมชาติว่าโหดร้ายไม่ได้หรอกค่ะ เพราะส่วนหนึ่งมันเกิดจากฝีมือมนุษย์ด้วยกันเองทั้งนั้น

เหตุการณ์น้ำท่วมในครั้งนี้ คงจะพอทำให้หลายๆ คน รวมถึงผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมือง หันมาสนใจและร่วมกันค้นหาสาเหตุ หาทางป้องกันและแก้ไข เพื่อไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดอีกในอนาคต

ด้วยสมองและกำลังอันน้อยนิดของทิพย์ คงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงหรือสร้างสิ่งต่างๆ ให้ดีขึ้นได้ แต่ถ้าทุกๆ คนร่วมด้วยช่วยกันคิด ช่วยกันทำ สิ่งที่เรามุ่งหวังย่อมสำฤทธิ์ผลอย่างแน่นอนค่ะ


ขอขอบคุณรูปภาพจาก http://www.kctv.co.th/

Wednesday, October 13, 2010

ว่าด้วยเรื่อง..ฆ่าตัวตาย..

ขณะที่คดีฆาตกรรมอำพรางนางแบบสาวเซ็กซี่แห่งนิตยสาร FHM กำลังเป็นที่สนใจของหลายๆ คน และยังอยู่ระหว่างการสืบสวนหาสาเหตุของการตายปริศนาของนางแบบสาวรายนี้ั และอีกไม่นานเราก็คงจะได้ทราบกันว่าจริงๆแล้ว นางแบบสาวคิดสั้นฆ่าตัวตายหรือว่าจะเป็นการฆาตกรรม? พอได้อ่านข่าวนี้ ทิพย์ก็มีเรื่องที่จะนำมาเล่าให้เพื่อนๆ ฟัง แต่เรื่องที่จะเล่านี้ไม่เกี่ยวข้องกับคดีนี้เลย ไม่ใช่การตามล่าหาความจริง วิเคราะห์ หรือสืบเสาะหาเบาะแส ใดๆทั้งสิ้น แต่ประเด็นที่ทิพย์จะหยิบยกมาพูดถึงก็คือ ประเด็นเรื่อง "การฆ่าตัวตาย"

พอทิพย์พูดถึงเรื่องฆ่าตัวตาย เพื่อนๆคงจะพากันคิดแล้วล่ะว่า เอ..วันนี้ทิพย์มาแปลก นึกยังงัยถึงพูดถึงเรื่องนี้ อารมณ์ไหนกันเนี่ย? ไม่ใช่อารมณ์อยากฆ่าตัวตายแน่ๆ อย่าพึ่งคิดไปกันใหญ่ พุทธศาสนาของเราถือว่าการฆ่าตัวตาย (อัตตวินิบาต) เป็นบาปมหันต์ ใครฆ่าตัวตายน่ะ นรกอย่างเดียวเลยค่ะเพื่อนๆ เราชาวพุทธก็ต้องเชื่อในบาป บุญ นรก สวรรค์ (ถึงใครจะพูดขึ้นมาว่า สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจก็เหอะ..นั่นมันก็ถูก จะสุขหรือทุกข์มันก็อยู่ที่ใจเรา) พุทธศาสนาของเราสอนให้ทุกคนทำความดี ละเว้นความชั่ว และทำจิตใจให้บริสุทธิ์ สาธุ..

กลับมาเล่ากันต่อ เมื่อประมาณเดือนก่อน ทิพย์ได้อ่านหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ซึ่งลงข่าวเรื่องวันป้องกันการฆ่าตัวตาย ทำให้ทิพย์ได้ทราบว่า ในวันที่ 10 กันยายน ของทุกปี เป็นวันที่องค์การอนามัยโลกกำหนดให้เป็นวันป้องกันการฆ่าตัวตายโลก ซึ่งปัญหาการฆ่าตัวตายก็เป็นปัญหาสำคัญของประเทศไทย ซึ่งจากรายงานพบว่าอัตราการฆ่าตัวตายอยู่ในปริมาณสูงกว่าปีที่แล้ว และวิธีการฆ่าตัวตายถูกพัฒนาขึ้นมาอีกมากมาย ทิพย์รู้สึกทึ่งค่ะเพื่อนๆ เคยได้ยินแต่การพัฒนาด้านเทคโนโลยี หรือไม่ก็อาวุธยุทโธปกรณ์ ยาต่อต้านหรือยารักษาโรคร้ายแรงต่างๆ แต่นี่แปลก คนเราถึงเวลานึกอยากจะตาย ก็ยังอุตส่าห์พัฒนาวิธีการตายอีก เฮ่อ..

เพื่อนๆ รู้หรือไม่คะว่าการฆ่าตัวตายที่รวบรวมมาได้มีถึง 16 วิธีด้วยกัน คือ การตัดหัว การกรีดเส้นเลือดที่มือหรือคอ การกระโดดน้ำตาย การรมควันด้วยก๊าซพิษ การช็อตด้วยไฟฟ้า การะเบิด การแขวนคอ การกระโดดจากพาหนะที่กำลังเคลื่อนที่ เช่น รถไฟ รถไฟใต้ดิน รถยนต์โดยสารและเรือโดยสาร การกระโดดสะพานและตึกสูง การวางยาและการกินยาตาย การเผาตัวเอง เซ็บปุกุหรือการคว้านท้องแบบซามูไร การยิงตัวตาย การอดอาหารประท้วง การระเบิดพลีชีพ และการฆ่าตัวตายทางอ้อม เช่น การอาสาไปร่วมรบโดยหวังจะถูกยิงตาย(อันนี้ตายแบบไม่ไร้ประโยชน์แต่ถึงยังงัยก็ไม่ดีนะคะ) โดยสถิติขององค์การอนามัยโลกพบว่า ทุก 40 วินาทีจะมีผู้่ฆ่าตัวตายสำเร็จ 1 คน ประเทศที่มีการฆ่าตัวตายสูงสุด ได้แก่ ประเทศลิทัวเนีย และรัสเซีย..

เป็นงัยคะเพื่อนๆ อ่านแล้วรู้สึกอย่างไรกันบ้าง ส่วนทิพย์อ่านแล้วหดหู่ค่ะ บอกได้คำเดียวเลยว่าหดหู่มากกกกก..คนเราหนอคนเรา กว่าจะได้เกิดมาเป็นตัวเป็นตน เป็นคนมีชีวิตได้ทุกวันนี้ ต้องต่อสู้ดิ้นรนมาตั้งแต่ก่อนจะได้เกิด ต้องเป็นตัวอสุจิเล็กๆ มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แก่งแย่ง แข่งขันกัน เพื่อที่จะได้ปฏิสนธิ เกิดเป็นก้อนเลือดก้อนเนื้อที่มีชีวิต พอได้เกิดกลับเห็นชีวิตของตัวเองไม่มีค่า เจอปัญหาเข้าหน่อย คิดทำลายชีวิตตัวเองไปซะอย่างนั้น ไม่ได้คิดเลยว่ากว่าจะมีชีวิตรอดมาจนเป็นคนสมบูรณ์ได้จนถึงวันนี้ต้องลงทุน ลงแรงไปเท่าไหร่ (ไหนจะพ่อแม่อีกล่ะท่านต้องลงทุนทั้งแรงกายและแรงใจไปตั้งเท่าไหร่ ท่านจะเสียใจแค่ไหน) บางคนบาปหนักเข้าไปอีก ฆ่าตัวตายคนเดียวยังไม่พอ ฆ่าลูก ฆ่าเมีย ฆ่าคนอื่นไปด้วย..(สงสัยว่าตายคนเดียวแล้วกลัวจะเหงามั๊ง?)

ไหนๆ เราก็ต่อสู้ดิ้นรนมาตั้งแต่ก่อนจะเกิดกันแล้ว พอมีชีวิตรอดมาเป็นคนได้ ก็ต้องต่อสู้ดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดของชีวิตกันต่อไป หยุดซะเถอะค่ะ ใครที่คิดจะฆ่าตัวตายเพื่อการแก้ปัญหา โปรดหยุดคิดสักนิด สัตว์เดรัจฉานมันยังรักชีวิตของมัน เราเป็นคนแท้ๆ อย่าได้แพ้สัตว์เดรัจฉานเลยค่ะ

ที่ทิพย์นำเรื่องนี้มาเล่าก็เพื่อเป็นการให้กำลังใจ และเตือนสติเพื่อนๆ ทุกคน ปัญหาต่างๆ มันมีทางออก เพียงแต่เราต้องมีสติ เมื่อมีสติก็จะเกิดปัญญา มีปัญญาก็จะจัดการกับปัญหาได้แน่นอน ชีวิตอาจไม่สวยงามนักแต่ก็มีทางเลือกให้เราเสมอค่ะ เป็นกำลังใจให้เพื่อนๆ นะคะ วันพรุ่งนี้อาจมีอะไรดีๆ รอเราอยู่ก็ได้ค่ะ ^___^

Sunday, August 22, 2010

OTOP Midyear 2010 ตอน 2


ไปมาอีกแล้วค่ะเพื่อนๆ เมื่อวานยังเดินไม่ครบทุกภาควันนี้ก็เลยถือโอกาสไปอีกครั้ง บรรยากาศของงานวันนี้ผู้คนคึกคักกว่าเมื่อวานเนื่องจากว่าวันนี้เป็นวันอาทิตย์


วันนี้มีภาพเขียนสีน้ำมันชื่อ "โมนาลิซ่า" (MONALISA) มาฝากเพื่อนๆ ได้ชมกัน ด้วยความประทับใจส่วนตัว เห็นปุ๊บก็รีบเข้าไปขอถ่ายรูปทันที พร้อมกับสัมภาษณ์คุณสมไชย เจ้าของภาพซึ่งเป็นผู้เขียนภาพนี้ด้วยตัวเอง คุณสมไชยเล่าว่า กว่าภาพนี้จะสำเร็จได้ต้องเขียนภาพเล็กก่อนประมาณ20ภาพ ถึงค่อยลงมือเขียนใหญ่ขนาดนี้ได้(ต้องขอโทษเพื่อนๆด้วยที่ลืมถามขนาดของภาพมา) ภาพนี้ใช้สีน้ำมัน และใช้เกรียงแทนพู่กัน ว่าแล้วคุณสมไชยก็เดินไปหยิบเกรียงมาสามอัน ซึ่งมีขนาดไม่เท่ากัน คุณสมชัยบอกว่า ถ้าเป็นบริเวณที่ต้องการความละเอียดสูงก็จะต้องใช้เกรียงที่มีขนาดเล็กลงไปอีก เช่นบริเวณดวงตา รอบดวงตา เป็นต้น อ้อ..คุณสมไชยก็เคยได้มีโอกาสบินไปชมภาพโมนาลิซ่าของจริงที่ฝรั่งเศสมาแล้ว โอ้โห พี่เค้านี่ใจรักซะจริงๆ..ภายในร้านของคุณสมไชย มีภาพเขียนจัดแสดงอยู่หลายภาพ แต่ละภาพล้วนเป็นฝีมือของคุณสมไชยทั้งนั้น และที่สำคัญ นอกจากภาพโมนาลิช่าที่มีความสวยงาม ดูลึกลับ จนทำให้ทิพย์ต้องหยุดมอง และเดินเข้าไปสัมผัสแล้ว สิ่งที่ทำให้ทิพย์ต้องตะลึงอีกครั้งก็คือ ราคาของภาพนี้ค่ะเพื่อนๆ คุณสมไชยเค้าตั้งราคาของภาพนี้ไว้สูงมากเลยทีเดียว คือ 5ล้านบาทค่ะ ขอย้ำนะคะเพื่อนๆ ว่า "5 ล้าน" ซึ่งคุณสมไชยบอกว่า จริงๆก็ไม่อยากขายเท่าไหร่ เพราะคิดว่าจะไม่เขียนภาพนี้อีกแล้ว แต่ถ้ามีใครที่เค้าชอบภาพนี้จริงๆ ก็จะขายให้ เรื่องราคาก็ต่อรองกันได้ (เป็นธรรมดาค่ะ ศิลปินมักจะชอบสร้างสรรค์ผลงานใหม่ๆ) คุณสมไชยบอกว่า ภาพนี้ถ้าเก็บไว้นานขึ้นเรื่อยๆ ก็จะยิ่งสวย ถ้ามีรอยแตกเล็กๆ ที่ใบหน้าของโมนาลิซ่าด้วยจะดูสวยและใกล้เคียงกับภาพต้นฉบับของลีโอนาโด ดาวินชี่ อีกด้วย..บอกได้เลยว่า สวยจริงๆ ค่ะเพื่อนๆ ยิ่งพอทิพย์ได้เห็นคุณสมไชยอธิบายถึงผลงานของตัวเองแล้วรู้ได้เลยว่า คุณสมไชยมีความภูมิใจในผลงานของเขามาก เขาพร้อมจะนำเสนอ อธิบายถึงความเป็นมาเกี่ยวกับผลงานของเขาอย่างเต็มใจ โดยไม่คำนึงว่าเราจะซื้อผลงานของเขาหรือไม่ เหมือนเป็นความสุขของผู้ที่สร้างสรรค์ผลงานที่ได้มีโอกาสนำเสนอผลงานแก่ผู้ที่สนใจ นี่แหละค่ะที่ทิพย์ประทับใจในความเป็นศิลปินของคุณสมไชย


วันนี้ไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือมา นอกจากภาพถ่ายรูปโมนาลิซ่าจากร้านของคุณสมไชย และภาพบรรยากาศวันที่สองของงาน แต่ก็ยังแอบวางแผนไว้ว่าจะไปอีกครั้งตอนใกล้ๆวันสุดท้าย เผื่อราคาสินค้าจะถูกลงกว่าเดิมอีกหน่อย อิอิ..

Saturday, August 21, 2010

ชมงาน OTOP Midyear 2010-21ส.ค.53







วันนี้มีโอกาสได้เข้าชมงาน OTOP Midyear 2010 ที่เมืองทองธานี ซึ่งจัดงานวันนี้เป็นวันแรก หลังจากที่เคลียร์งานเสร็จเรียบร้อย ทิพย์กับพี่แป้นก็รีบเดินทางไปกันทันที


บรรยากาศของงานในวันนี้เต็มไปด้วยความคึกคัก ในงานมีการจัดนิทรรศการและการแสดงการสาธิตกระบวนการผลิตโอทอปจากทุกจังหวัด มีร้านอาหารจำหน่ายมากมาย ทิพย์เริ่มเดินชมงานจากชาเลนเจอร์1 ซึ่งเป็น OTOP ของภาคอีสานและภาคเหนือ สินค้าที่แสดงส่วนใหญ่เป็นผ้าไหม และผ้าฝ้าย ของใช้ ของตกแต่งบ้าน


ทิพย์เดินดูสินค้าแต่ละร้านไปเรื่อยๆ เจอสินค้าชิ้นไหนถูกใจก็ซื้อไว้ อ้อ เกือบลืมบอกไปว่า ต่อราคาได้ด้วยนะ (อาศัยว่าเป็นคนบ้านเดียวกัน ก็เลยได้ส่วนลด ฮ่าๆๆ..) อันที่จริงทิพย์ว่าราคาสินค้าก็ไม่แพงนะ แต่ถ้าลดได้ก็ดี อิอิ..


ที่บูธของ จ.นครราชสีมา ทิพย์ได้ฝึกหัดทอผ้าไหมด้วยล่ะ มีกลุ่มแม่บ้านเป็นผู้สอนให้ และผ้าผืนที่ทอได้จะนำไปประมูล เนื่องจากเป็นผ้าไหมพันมือ(คาดว่าจะมีผู้สนใจฝึกทอเป็นพันคน) และผู้ที่ฝึกทอผ้าไหมต้องลงชื่อไว้ด้วย


หลังจากที่เดินชมงานอยู่หลายชั่วโมงปรากฎว่า ยังเดินดูร้านค้าได้ไม่ครบทุกภาค ได้เพียงร้านค้าที่มาจากภาคอีสานและภาคเหนือ พี่แป้นก็ชวนกลับ ทิพย์ก็เลยคิดเอาไว้ว่าก่อนจะครบกำหนดจัดงานในวันที่29ส.ค.53 จะต้องหาเวลามาชมงานอีกครั้งให้ได้


  • สรุปว่าวันนี้ทิพย์หมดเงินไปเยอะเลย แต่ก็ได้ของมาหลายชิ้น ถือว่าทิพย์ได้มีส่วนช่วยเหลือเศรษฐกิจของชาติ และช่วยเหลือให้กลุ่มผู้ผลิตโอทอปทั้งหลายได้มีกำลังใจในการผลิตสินค้าออกมาจำหน่ายอีกด้วยนะ ^___^


Friday, August 20, 2010

เรื่องเล่าจากวันหยุด

เรื่องราวที่จะเล่าให้เพื่อนๆ ฟังต่อไปนี้ เป็นอุทาหรณ์สำหรับผู้ที่ต้องการเดินทางไปต่างจังหวัดในช่วงเทศกาลหรือวันหยุดยาวว่าควรจะจองตั๋วล่วงหน้า เพื่อป้องกันการถูกเอารัดเอาเปรียบจากใครก็ไม่รู้(เพราะหาต้นตอของผู้กระทำไม่เจอ..โยนกันไปโยนกันมา..)

เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อครั้งหนึ่งทิพย์จะเดินทางกลับบ้านที่ต่างจังหวัด(จ.บุรีรัมย์) แต่บังเอิญว่าเป็นการเดินทางแบบกระทันหันไม่ได้จองตั๋วรถล่วงหน้าเอาไว้ แถมเป็นช่วงวันหยุดยาวอีกต่างหาก ค่ำวันนั้นตัดสินใจไปใช้บริการรถที่หมอชิต ไปถึงก็ตรงไปซื้อตั๋วที่ช่องบริการเลยค่ะ คิดว่าคงต้องได้รอนานแน่ๆ เพราะเราไม่ได้จองตั๋วไว้ เที่ยวแรกๆ คงจะเต็มหมดแล้ว แต่พอไปถึงพนักงานบอกว่า รถจะออกอีกประมาณ 10 นาที เป็นรถปรับอาศชั้น 1 ถ้าสนใจจะเดินทางในเที่ยวนี้ ก็ต้องจ่ายเงินค่าบริการ 340 บาท ซึ่งเป็นค่าบริการในอัตราปกติจากกรุงเทพฯไปบุรีรัมย์ (เพราะทิพย์เคยใช้บริการมาแล้วหลายครั้ง) ก็เลยตกลงซื้อตั๋วทันที จากนั้นก็รีบไปยังชานชาลาเพื่อขึ้นรถ ไปถึงก็งงๆ เพราะรถที่เห็นกลับไม่ใช่รถ ป.1 อย่างที่เราเคยนั่ง ก็แปลกใจนะ แต่ก็เดินขึ้นไปแบบงงๆ อย่างนั้นแหละ ขึ้นบนรถก็ได้ยินผู้โดยสารที่นั่งอยู่คุยกันว่าทำไมเค้าถึงเอาเปรียบมากขนาดนี้ ตอนขายตั๋วบอกว่าเป็นรถปรับอากาศชั้น 1 แต่พอขึ้นรถจริงๆ กลับเป็นรถ ป.2 สภาพแตกต่างกับรถ ป.1 มาก เราก็เลยขอดูตั๋วของคนที่นั่งข้างๆ เออ เราไม่ได้ขึ้นผิดคันแน่ๆ สักพักก็มีน้องผู้หญิงคนหนึ่งเดินไปพูดกับพนักงานบนรถถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผู้โดยสารทุกคน ว่าพวกเราทุกคนโดนเอาเปรียบนะ จากนั้นก็พากันลงชื่อ คิดว่าจะต้องเอาเรื่องกับบริษัทนี้แน่ๆ (น้องเค้าบอกว่าจะฟ้อง สคบ.) พอเกิดปัญหาแบบนี้พนักงานก็เลยติดต่อไปหาใครก็ไม่รู้ และอีกประมาณหนึ่งชั่วโมงก็เอาเงินมาคืนผู้โดยสารทุกคนๆ ละ 100 บาท และเปลี่ยนรถคันใหม่ให้ กว่าจะได้ออกเดินทางทิพย์ต้องนั่งรออยู่บนรถเกือบสองชั่วโมง เข็ดกับการเดินทางแบบกะทันในช่วงเทศกาลไปเลย

เหตุการณ์ในวันนั้นทำให้ทิพย์คิดนะว่า ไม่รู้ว่าจะมีคนที่เจอกับเหตุการณ์แบบนี้กันอีกกี่คน ทุกๆเทศกาลหรือวันหยุดติดต่อกันหลายวันเกิดเหตุการณ์แบบนี้มาแล้วกี่หน แล้วจะมีซักกี่ครั้งที่ผู้โดยสารอย่างเราจะกล้าทวงคืนความเป็นธรรมให้กับตัวเอง นึกชื่นชมในความกล้าของน้องผู้หญิงคนนั้น และอีกหลายๆ คน เมื่อใดที่เราถูกเอารัดเอาเปรียบเมื่อใดที่รู้สึกว่าเกิดความไม่เป็นธรรมขึ้น และเราไม่ยอมรับกับการกระทำนั้น เราร่วมมือกันต่อต้าน ต่อสู้เพื่อให้ได้รับความยุติธรรมกลับคืนมา เหตุการณ์ในวันนั้นเป็นตัวอย่างของการรวมพลังกันของคนกลุ่มเล็กๆ ที่สามารถเรียกร้องให้ผู้ที่เอารัดเอาเปรียบต้องหันกลับมามองว่า พวกเขาไม่ควรจะทำอย่างนั้นอีก เพราะสิ่งที่พวกเขาได้รับมันอาจไม่คุ้มกับความเสียหายในอนาคต และพวกเขาก็ควรปฏิบัติในสิ่งที่ถูกต้อง เป็นธรรม มีความซื่อสัตย์กับอาชีพของเขาจะดีที่สุด

ถ้าในสังคม คนทุกคน ทุกอาชีพ มีความซื่อสัตย์สุจริต มีความรับผิดชอบ ทั้งต่อตนเองและสังคมแล้ว สังคมนี้คงจะน่าอยู่ขึ้นอีกไม่น้อยเลยทีเดียว..

Thursday, August 19, 2010

เที่ยวงานแห่เทียนวันเข้าพรรษาที่บุรีรัมย์


ปีนี้มีโอกาสได้ไปดูงานแห่เทียนวันเข้าพรรษาที่ จ.บุรีรัมย์ (27ก.ค.53) แต่ก่อนที่จะเล่าถึงบรรยากาศของงาน ต้องขอพูดถึงวันเข้าพรรษาก่อนซักนิดนึง วันเข้าพรรษา เป็นวันสำคัญในพุทธศาสนาวันหนึ่ง ที่พระสงฆ์เถรวาทจะอธิษฐานว่า จะพักประจำอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่ง ตลอดระยะเวลาฤดูฝนที่มีกำหนดเป็นระยะเวลา 3 เดือน ตามที่พระธรรมวินัยบัญญัติไว้ โดยไม่ไปค้างแรมที่อื่น หรือที่เรียกติดปากกันโดยทั่วไปว่า จำพรรษา พิธีเข้าพรรษานี้ ถือเป็นขัอปฏิบัติสำหรับพระสงฆ์โดยตรง ละเว้นไม่ได้ ไม่ว่ากรณีใดๆก็ตาม การเข้าพรรษาตามปกติเริ่มนับตั้งแต่ วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ของทุกปี (หรือเดือน 8 หลัง ถ้ามีเดือน 8 สองหน) และสิ้นสุดลงในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 หรือวันออกพรรษา


ไปดูงานแห่เทียนพรรษาครั้งนี้ จุดที่ไปยืนชมเป็นจุดเริ่มต้นของขบวนแห่ อยู่ข้างเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ ขบวนจะเคลื่อนไปรอบเมือง ผ่านหอนาฬิกา ตลาด สถานีตำรวจ และกลับมาสิ้นสุดที่เดิม แต่บอกก่อนว่าทิพย์ไม่ได้เดินไปพร้อมกับขบวนแห่หรอก เพราะจากที่ประมาณระยะทางแล้วก็ไกลพอสมควร (สำหรับทิพย์นะ) ก็ได้แต่ยืนดูที่จุดเริ่มต้น โชคดีที่วันนั้นช่วงเช้าครึ้มฟ้าครึ้มฝน บางครั้งก็ฝนตกปรอยๆ บางครั้งแดดออกแต่ก็ไม่ร้อนมากนัก บรรยากาศของงานสนุกมากๆ (สังเกตุจากชาวบ้านที่มาในขบวนแห่ ทั้งเต้น ทั้งรำ น่าสนุกดี) เพื่อนบอกว่ามีประกวดขบวนแห่ด้วย แต่ละขบวนมาจากวัดต่างๆ มีการตกแต่งต้นเทียนอย่างสวยงาม มีนักเรียนเข้าร่วมในขบวนแห่ด้วย ซึ่งทิพย์คิดว่าดีนะ เป็นการปลูกฝังให้เยาวชนอนุรักษ์วัฒนธรรม ประเพณีไทย อย่างน้อยก็ไม่สูญสลายไปตามกาลเวลา หรือลงลืมกันไปเพราะหันไปนิยมวัฒนธรรมต่างชาติกันซะหมด


สรุป ไปเที่ยวงานแห่เทียนวันเข้าพรรษาครั้งนี้รู้่สึกภูมิใจในความเป็นไทย ประเทศเรามีอะไรดีๆ ที่ประเทศอื่นไม่มีอย่างเรา คนไทยเราก็มีใจรักในประเพณีของเราและยังร่วมกันสืบทอดเอาไว้ไม่ให้สูญหายไปอีกด้วย ต่อให้อีกร้อยปี หรือหลายร้อยปี ประเพณีแห่เทียนพรรษาก็ยังคงจะมีอยู่คู่กับบ้านเมืองเราสืบไป


ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก th.wikipidia.org


Friday, May 21, 2010

ศึกษาดูงานต่อต้านยาเสพย์ติด อุดร-หนองคาย-ลาว


ก่อนอื่นต้องขอขอบพระคุณท่านหัวหน้าฝ่ายทะเบียน (ฝ่ายเชาวนาท) ที่กรุณาให้ทิพย์ได้มีโอกาสเข้าร่วมในโครงการศึกษาดูงานต่อต้านยาเสพย์ติดในครั้งนี้ด้วยค่ะ เดินทางไปศึกษาดูงานครั้งนี้ฝ่ายทะเบียนของเราส่งตัวแทนเข้าร่วมในโครงการจำนวน 7 คน (พี่สมชาย พี่ปัญญา พี่แป้น พี่ติ๋ม พี่ตี๋ ก้อย ทิพย์) รถออกเดินทางจากกรุงเทพฯ วันที่ 6พ.ค.53 เวลาประมาณทุ่มครึ่ง ถึงวัดโพธิ์ชัย จังหวัดหนองคายก็ประมาณ6โมงเช้าของวันที่7พ.ค.53 หลังจากปฏิบัติภารกิจส่วนตัวเสร็จก็ร่วมกันรับประทานอาหารเช้าที่วัดโพธิ์ชัย (ข้าวต้ม ต้มเลือดหมู กาแฟ โอวัลติน) และนมัสการหลวงพ่อพระใส
วัดโพธิ์ชัย เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ สังกัดมหานิกาย ประวัติวัดโพธิ์ชัย เดิมชื่อวัดผีผิว วัดนี้ใช้เป็นที่เผาผีหรือเผาศพ และมีผีดุ ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็นวัดโพธิ์ชัยในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ปัจจุบันเป็นสถานที่ประดิษฐานหลวงพ่อพระใส ซึ่งเป็นพระพุทธรูปขัดสมาธิราบปางมารวิชัย สมัยเชียงแสน ชั้นหลังหล่อด้วยทองสุก(ทองคำที่มีเนื้อทองคำบริสุทธิ์ประมาณ92เปอร์เซนต์ สีทองคำจะมีสีเหลืองเข้มเรียกว่า สีทองสุก) มีพระพุทธลักษณะงดงามมาก ขนาดหน้าตักกว้าง2คืบ8นิ้ว สูงจากเบื้องล่างพระชงฆ์ถึงยอดพระเกศา 4คืบ1นิ้ว มีห่วงกลมขนาดหัวแม่มือจำนวน3ห่วง ติดกับพระแท่นซึ่งหล่อติดกับองค์พระใสสำหรับผูกเชือกติดกับยานเวลาอัญเชิญลงมาแห่รอบเมืองให้ประชาชนได้สรงน้ำในวันสงกรานต์ หลวงพ่อพระใสจัดสร้างขึ้นโดย พระราชธิดาพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช กษัตริย์แห่งล้านช้าง ทั้ง3พระองค์ คือ พระสุก พระเสริม และพระใส พระสุกนั้นได้จมลงที่แม่น้ำโขง ขณะอัญเชิญลงมายังกรุงเทพ บริเวณที่พระสุกจมลงชาวบ้านจึงเรียกว่า เวินพระสุก ซึ่งปรากฎอยู่จนถึงปัจจุบันนี้ ส่วนพระเสริมนั้นได้อัญเชิญลงมายังกรุงเทพฯ ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ ณ วัดปทุมวนาราม
หลังจากที่นมัสการหลวงพ่อพระใสเรียบร้อยแล้ว ก็เดินทางไปศึกษาดูงานต่อต้านยาเสพย์ติด ณ ศาลากลางจังหวัดอุดรธานี และเดินทางเข้าสู่ประเทศลาว ที่ได้ชื่อว่าเป็นบ้านพี่เมืองน้องกันกับประเทศไทยเรา ไกด์สาวชาวลาวพาเราเข้าชมและนมัสการหลวงพ่อวัดสีเมือง จากนั้นเดินทางต่อไปยังวัดพระแก้วซึ่งเดิมเคยประดิษฐานพระแก้วมรกตซึ่งปัจจุบันประดิษฐานอยู่ ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม(วัดพระแก้ว)ในประเทศไทย ผ่านประตูชัย(ในภาพด้านบนคือประตูชัยของประเทศลาวค่ะ)เดินทางต่อไปยังวัดพระธาตุหลวง และกลับเข้าสู่ประเทศไทยในเวลาเย็น เข้าพักค้างคืนที่โรงแรมบ้านเชียง อ.เมือง จ.อุดรธานี เช้าวันที่8พ.ค.53 เดินทางไปศึกษาดูงานต้านยาเสพย์ติดและโครงการศิลปาชีพบ้านกำแมด อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี เข้าเยี่ยมชมโครงการเศรษฐกิจพอเพียงของโรงเรียนบ้านกำแมด ต่อจากนั้นจึงเดินทางไปศึกษาดูงานเครือข่ายชุมชนแก้ไขปัญหายาเสพย์ติดบ้านสวนมอญ อ.กุมภวาปี จ.อุดรธานี และเดินทางกลับที่พัก ณ โรงแรมบ้านเชียง เช้าของวันที่9พ.ค.53 เดินทางกลับกรุงเทพมหานครโดยสวัสดิภาพ ถึงกรุงเทพเวลาประมาณ2ทุ่ม

สรุป ในการเดินทางไปศึกษาดูงานครั้งนี้ ประทับใจกับการต้อนรับของชาวบ้านทั้งสองหมู่บ้าน คือ ชาวบ้านกำแมด และชาวบ้านสวนมอญ ทุกคนดูเป็นกันเอง ยิ้มแย้มแจ่มใส ต้อนรับพวกเราเป็นอย่างดี ที่ประเทศลาว ได้เห็นนักเรียนนักศึกษาชาวลาวนุ่งผ้าถุงไปเรียน สะท้อนให้เห็นว่าประเทศลาวเค้าได้ปลูกฝังและสร้างจิตสำนึกให้ลูกหลานอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีดั้งเดิมของประเทศเอาไว้ เราชาวไทยน่าจะหันมาอนุรักษ์วัฒนธรรมของเรากันบ้าง อย่างเช่น เปลี่ยนจากกระโปรงสั้นสูงเหนือเข่า เสื้อรัดรูป มาเป็นนุ่งผ้าถุงพื้นเมือง หรือไม่ก็แต่งกายด้วยชุดพื้นเมืองของแต่ละภาคไปเรียนน่าจะดีน่ะ แต่ที่แน่ๆ หนุ่มๆ หลายคนคงจะคัดค้านกันเป็นแถว ด้วยเหตุผลที่ว่าจะไม่ได้เห็นภาพของน้องๆนักศึกษาแต่งตัวอย่างทุกวันนี้ละมั๊ง หึๆๆ ..ประเทศไทย..เราไปฟังเพลงหลงวัฒน์-คาราบาวกันเถอะ..

สวนนงนุช-พัทยา 2 พ.ค. 53


กลับมาแล้วจ้า หายไปหลายเดือนก็ได้เวลามาอัพเดตข่าวคราวให้เพื่อนๆได้อ่านกันอีกแล้ว ไปครั้งนี้(2พ.ค.53)ก็ไปพัทยาอีกเช่นเคยค่ะ (เพราะว่ามันใกล้ดี) แต่ครั้งนี้ได้มีโอกาสไปชมสวนนงนุชที่เค้าล่ำลือกันนักกันหนาว่าสวยงาม อลังการงานสร้างค่ะท่านผู้ชม น้องชายขับรถมารับแต่เช้า ถึงสวนนงนุชก็ประมาณ 10 โมงเช้า สวนนงนุชอยู่เลยพัทยาใต้ไปตามถนนสุขุมวิท ประมาณ 15 กิโลเมตร ถึงกิโลเมตรที่ 163 แยกซ้ายไปอีก 3.5 กิโลเมตร เป็นสถานพักผ่อนหย่อนใจที่ใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออก ภายในสวนมีบ้านทรงไทย สวนไม้ดอก ไม้ประดับนานาชนิด สวยงามมากเลยทีเดียวค่ะ อ้อ มีการแสดงของช้าง และการแสดงต่างๆ เยอะแยะเลยค่ะ ที่ประตูทางเข้าเราต้องซื้อบัตรผ่านประตูก่อน คนละ 100 บาท แต่ถ้าเราจะเข้าชมการแสดงด้วยก็ต้องซื้อบัตรอีกราคานึงนะคะ ไปวันนี้อากาศร้อนอบอ้าว แต่พอไปถึงที่สวนนงนุชฝนตกพอดีเลย บรรยากาศก็เลยชุ่มฉ่ำขึ้นมาหน่อย หลังจากหาที่จอดรถเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็เริ่มกันเลย เข้าไปที่ซุ้มทางเข้าเจอเจ้าตัวหน้าตาประหลาด ตัวสีเทาๆ หน้าตาคล้ายๆกับม้า แต่ตัวเล็กกว่า อ๋อ เจ้าลานี่เอง ฮ่าๆๆ ลาโง่ ว่ามันเข้าให้ ทันใดนั้นตาก็เหลือบไปเห็นป้ายติดอยู่หน้าคอกของมันนั่นแหละ เขียนว่า "ผมเป็นลา แต่ไม่โง่นะครับ" อ้าว มันเถึยงเราซะงั้น ฮ่าๆๆ นึกขำตัวเอง ก็เลยกดชัตเตอร์ แชะ! เก็บภาพน่ารักๆของมันไว้ซะเลย กล้าดียังงัยมาเถียงเรา ฮึ! เดินเข้าไปอีกหน่อย มาอีกแล้ว ตัวอะไรอีกเนี่ย นึกอยู่นาน อ๋อ เพื่อนทิพย์เอง แพะรับบาป ฮ่าๆ (งงใช่มั๊ยคะว่ามันเป็นเพื่อนทิพย์ได้งัย ก็ทิพย์เกิดปีแพะนะสิ อิอิ) มีตั้งหลายตัว ตัวเล็กตัวใหญ่ ทั้งแพะ ทั้งแกะ วัว ม้า ควาย กวาง เต็มไปหมดเลย ส่วนที่วิ่งไปวิ่งมาข้างนอกคอกได้จะเป็นแพะกับแกะ พวกมันคุ้นกับคนมาก ข้างในมีถั่วฝักยาวขายให้กับนักท่องเที่ยวได้ซื้อเป็นอาหารของพวกมันด้วย บรรยากาศวุ่นวายน่าดู เพราะถ้ามันเห็นใครถือถั่วฝักยาวไว้ในมือ พวกมันจะกรูกันเข้ามาขอกินกันเป็นฝูงเลย เผลอแป๊บเดียวหมด พอให้อาหารพวกแพะพวกแกะเสร็จ ก็เดินต่อไปถึงเวทีการแสดง เป็นวงดนตรีเล่นกันสดๆ กลางแจ้ง แดดร้อนๆ กันนั่นเลย ขาแดนซ์ข้างล่างนี่ก็เต้นกันจัง สงสัยจะบวกกับฤทธิ์แอลกอฮอล์ด้วย ถึงได้มีอารมณ์เต้นกลางแดดร้อนได้กันขนาดนั้น (วันนี้คนมาเที่ยวเยอะมาก สังเกตเอาว่าน่าจะเป็นกรุ๊ปทัวร์ เพราะส่วนใหญ่มีป้ายชื่อกันทุกคน) เดินเลยขึ้นไปข้างบนก็จะพบกับลานน้ำพุ(อยู่ใกล้ๆกับเวทีการแสดงนั่นแหละ) เดินขึ้นไปอีกนิดก็จะเป็นสวนไม้ดอกไม้ประดับสวยงามมาก เดินชมสวนอยู่นานพอสมควร รู้สึกว่าเริ่มจะเมื่อยกันแล้ว(ทั้งๆที่เดินยังไม่ทั่วเลย) บวกกับสภาพอากาศตอนเที่ยงวันนี่มันช่างร้อนซะจริงๆ เดินต่อไม่ไหวก็เลยออกจากสวนนงนุช มุ่งหน้ากลับมายังพัทยา มานั่งริมชายหาดบรรยากาศเย็นๆ สั่งปูม้า กุ้งนึ่งมานั่งทานเล่น พอถึงเวลาเย็นก็ลงมาเดินเล่นน้ำทะเลซะหน่อย ไหนๆ ก็มาถึงทะเลแล้วนี่นา พระอาทิตย์กำลังตกน้ำ ก้มดูนาฬิกาได้เวลากลับกรุงเทพฯกันแล้วสิ กลับถึงกรุงเทพฯก็ประมาณ 2 ทุ่ม
สรุป ไปเที่ยวครั้งนี้ อากาศร้อนสุดๆ แต่ก็ได้มานั่งพักผ่อนริมชายหาดนี่แหละ รู้สึกผ่อนคลาย สบายใจสุดๆ วางแผนในใจเอาไว้ว่า เที่ยวครั้งหน้าอยากไปเกาะซักแห่ง กลับมานอนคิดดูก่อนว่าจะไปเกาะไหนดี...ไปเที่ยวเกาะกันไหมคะเพื่อนๆ