Monday, May 16, 2011

สังสรรค์วันหยุดที่หาดนางรำ


วันหยุดติดต่อกันหลายวันแบบนี้ (13-17พ.ค.54) เป็นโอกาสอันดีเหมาะแก่การท่องเที่ยวอีกเช่นเคย ครั้งนี้ไปกันที่หาดนางรำ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ออกเดินทางตอนสายๆ ของวันที่ 15พ.ค.54 ไปแวะบ้านเพื่อนที่บ่อวิน ก่อนที่จะออกเดินทางต่อไปยังหาดนางรำ

หาดนางรำ ชายหาดสวย น้ำใส ทรายขาว ริมชายหาดรายล้อมด้วยทิวสน ที่ชายหาดแห่งนี้ ในวันนี้เต็มไปด้วยผู้คนซึ่งต่างก็มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือ หลบร้อนมาพักผ่อนหาความสำราญใจ บ้างก็พาลูกหลานมาเล่นน้ำทะเล บ้างก็มาเป็นคู่ บ้างก็มากันเป็นหมู่คณะ บางกลุ่มก็จัดเตรียมข้าวปลาอาหารมาจากที่บ้าน บางกลุ่มก็มาซื้อหาอาหารกันที่ร้านค้าริมชายหาด บางกลุ่มก็นำมะละกอและเครื่องปรุงมาตำส้มตำกินกันที่ริมชายหาดเลยก็มี บรรยากาศของที่นี่ก็เลยดูคึกคัก เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะแห่งความสุขของผู้คน กลุ่มนู้นบ้าง กลุ่มนี้บ้าง ดังมาเป็นระยะๆ จะว่าไปเสียงหัวเราะนี่ก็สร้างความสุขแก่ผู้ฟังได้เหมือนกันนะ ทำให้สดชื่น ชุ่มฉ่ำใจ ผ่อนคลายสบายใจดีค่ะ

กลุ่มของเราไปกัน 5 คน เตรียมเสื่อ เตรียมเครื่องดื่มไปด้วย เนื่องจากว่าถ้าเราซื้อที่ร้านค้าริมชายหาดจะมีราคาค่อนข้างแพง ทิพย์สั่งส้มตำปูม้าและส้มตำหอยดองมาอย่างละจาน ราคาจานละ 50 บาท หอยแครงลวกจานละ 80 บาท (นับได้ 30 ตัว) คิดเอาไว้ครั้งหน้าเราต้องซื้อหอยแครงแล้วลวกและนำมาเองจะดีกว่า หลังจากทานมื้อเที่ยงเสร็จ ก็ได้เวลาพักผ่อน เข้าตำรา หนังท้องตึง หนังตาหย่อน ประกอบกับสายลมเย็นๆ ทำให้ทิพย์รู้สึกง่วงขึ้นมาทันที เผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ ทิ้งให้กลุ่มเพื่อนสังสรรค์กันไปก่อน..

ตื่นขึ้นมาด้วยความสดชื่น มาร่วมวงต่อในตอนเย็น แดดร่มลมตกก็ไปเดินเล่นชายหาดซะหน่อย เดี๋ยวใครๆ จะหาว่ามาไม่ถึงทะเล (เพราะเอาแต่กินกับนอน) หกโมงเย็นได้เวลากลับกันแล้ว แวะแสมสาร ซื้อหอยเชลล์กับปลาหมึกมาย่างกินกันต่อที่บ้านเพื่อน ก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับบ้านในเวลาสามทุ่ม

ขณะที่นั่งเขียนบล็อคอยู่ก็พลันนึกขึ้นมาได้ว่า เราไม่ได้ชวนน้องชายคนนึงไปด้วยนี่นา นี่ถ้าโพสต์เรื่องนี้ลงบล็อคแล้วน้องมันจะเคืองเรารึเปล่าที่ไปไม่ชวน เอาเป็นว่า ครั้งนี้อย่าเคืองพี่เลยนะน้อง ครั้งหน้าจะรีบชวนก่อนใครเลย..ขอบคุณน้ำใจจากเพื่อนใหม่พร้อมกับคนพิเศษที่ร่วมเดินทางกันไปในทริปนี้..

Tuesday, May 10, 2011

การเดินทางบนเส้นทางต่างระดับ


เหตุการณ์ที่ทิพย์ได้พบเจอมากับตัวเองนี้ เป็นคนละวัน คนละสถานที่ คนละเส้นทาง และคนละยานพาหนะ เหตุการณ์แรก เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 2 อาทิตย์ที่แล้ว (วันนี้วันที่ 10 พ.ค.54) วันนั้นหลังจากเลิกงาน ทิพย์มีนัดสำคัญต้องเดินทางไป จ.สมุทรสาคร ด้วยรถประจำทางของ ขสมก. สาย ปอ.68 บางลำพู-สมุทรสาคร ในช่วงเวลาเย็นๆ แบบนี้ ผู้คนช่างแออัดซะเหลือเกิน ในรถเมล์คันนี้แทบจะไม่มีที่ยืน แต่ด้วยน้ำใจที่เผื่อแผ่ให้เพื่อนร่วมทาง ซึ่งต่างก็มีภาระหน้าที่ความจำเป็นเช่นเดียวกัน จะเบียดเสียดเยียดยัดกันสักแค่ไหน ก็ยินดีที่จะแบ่งที่ยืนให้กันได้อีก เอาน่ะ ใครถึงก่อนคนนั้นก็ลงก่อน ผู้คนเหล่านั้นเขาก็คงจะชินกับสภาพบนรถเมล์เมืองไทยกันแล้วล่ะ แต่ทิพย์นี่สิ ไม่ค่อยได้ใช้บริการรถเมล์ซักเท่าไหร่ ก็เลยค่อนข้างรู้สึกได้ถึงความอึดอัด จนแทบจะถอดใจ ไหนจะข้าวของพะรุงพะรังในสองมือนี่อีกล่ะ หนักก็หนัก จะทนยืนโหนรถเมล์ได้ถึงที่หมายรึเปล่าก็ไม่รู้ มองไปที่เบาะตรงหน้า มีหญิงสาวอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับทิพย์นั่งอยู่ ดูแล้วเธอคงจะสบายกาย สบายใจ ไม่คำนึงถึงสภาพเพื่อนร่วมทางที่ยืนอยู่ข้างๆ เธอเลย เธอแต่งกายดูเก๋ร่วมสมัย กางเกงขาสั้นหลวมๆ สีน้ำตาลเข้ม ทับเสื้อลายดอกไม้เล็กๆ โทนสีเหลืองอ่อน คาดด้วยเข็มขัดเส้นโต ผมของเธอถูกรวบและเกล้าขึ้นด้านบนแบบหลวมๆ เธอกำลังง่วนอยู่กับการแชทบีบีกับใครก็ไม่รู้ บางครั้งเธอก็อมยิ้ม บางครั้งเหมือนเธอกำลังคิด มือเธอก็กดปุ่มแป้นตัวอักษรอย่างคล่องแคล่วซะเหลือเกิน ไม่นานนักเธอก็วางมือจากการแชท ทิพย์จึงได้เห็นว่าที่หน้าจอบีบีของเธอ เป็นรูปของชายหนุ่มหน้าตาดีคนนึง แต่ก็ไม่มีความสำคัญอะไรที่ทิพย์จะต้องรู้ให้ได้ว่าเขาคนนั้นเป็นใคร รู้แค่ว่าเธอสนใจแต่บีบีเครื่องนั้นจนไม่สนใจสิ่งรอบข้างและเพื่อนมนุษย์รอบตัวเธอเลย ทิพย์จึงละสายตาจากเธอหันไปมองดูสภาพการจราจรด้านนอก ที่ติดขัดซะจนอยากจะลงไปเดินให้มันรู้แล้วรู้รอด ทันใดนั้นเอง ข้าวของในมือทิพย์ก็ถูกดึงออกไป พร้อมกับเสียงที่ได้ยินเบาๆ ว่า "ถือให้ค่ะ" ทิพย์หันไปมองดูถึงได้รู้ว่าเป็นเสียงของเธอคนนั้นเอง เพื่อนๆ คะ ความรู้สึกที่ทิพย์มีต่อเธอในตอนแรกนั้นหายไปทันที แทนที่ด้วยความขอบคุณ พร้อมกับคำว่า "ขอบคุณค่ะ" ให้กับเธอคนนั้น ขอบคุณสำหรับน้ำใจที่เธอหยิบยื่นให้บนเส้นทางสาย พระราม 2

เหตุการณ์ที่ 2 เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 7 พ.ค. ที่ผ่านมานี้เอง วันนั้นทิพย์จะต้องเดินทางไปจังหวัดชลบุรี ต้องนั่งรถไฟฟ้าจากสถานีตากสินไปต่อรถตู้ที่หมอชิต เหตุการณ์บนรถไฟฟ้าคือเรื่องที่ทิพย์จะนำมาเล่าให้เพื่อนๆ ฟังกันค่ะ ครั้งนี้ก็หอบข้าวของพะรุงพะรังด้วยความจำเป็นอีกเช่นเคย บรรยากาศบนรถไฟฟ้าในเวลาบ่ายแก่ๆ แบบนี้ คงไม่ต้องบรรยายเพราะสภาพไม่ต่างกันกับบนรถเมล์เท่าไหร่นัก จะต่างกันก็ตรงที่เรามองไม่เห็นสภาพการจราจรด้านล่าง มองไปนอกหน้าต่างก็เห็นท้องฟ้ากับตึกสูงต่ำสลับกันไป แต่ก็ยังพอทน ดีกว่าเห็นภาพรถติดเป็นไหนๆ..บนรถไฟฟ้านี้ ในตู้นึงมีที่นั่งด้านซ้ายและขวา ด้านละ7ตัว ซึ่งไม่มีที่ว่างสำหรับทิพย์อยู่แล้วล่ะค่ะ สังเกตเห็นว่า 4 คนใน 7 คนที่นั่งอยู่นี้ ในมือของพวกเขาถืออุปกรณ์สื่อสารอย่างน้อยคนละ 1 เครื่อง มี 1 คนกำลังฟังเพลงหรือไม่ก็คงเล่นเกมหรือโหลดหนังดูฆ่าเวลา อีก 3 คนกำลังง่วนอยู่กับการแชทบีบี แบบไม่สนใจสิ่งแวดล้อมรอบตัว(อีกละ) เดี๋ยวนี้ผู้คนเขาไม่คุยกันแล้วหรือนี่ เวลาเจอกันเขาจะคุยกันหรือเปล่านะ หรือว่าแชทแล้วก็ไม่จำเป็นต้องคุยกัน หรือว่าในอนาคตคนเราอาจจะเป็นใบ้ พูดไม่ได้ เขียนหนังสือไม่เป็น เพราะไม่จำเป็นต้องพูด ไม่จำเป็นต้องเขียน ใช้มือพิมพ์อย่างเดียว..และข้อควรระวังอีกอย่างก็คือ การแชทมากๆ จะทำให้นิ้วล็อคนะคะ..ก็แค่คิดและเตือนพวกเขาเหล่านั้นอยู่ในใจ ไม่กล้าไปละลาบละล้วงหรือละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของเขาหรอกค่ะ รถไฟฟ้าแล่นผ่านไปเรื่อยๆ สถานีแล้วสถานีเล่า จนถึงสถานีสุดท้าย สถานีหมอชิต เฮ้อ!..ถึงซะที แต่ที่นี่ไม่ใช่จุดหมายปลายทาง ชลบุรีต่างหากล่ะคือจุดหมายปลายทางของการเดินทางในครั้งนี้

การเดินทางของทิพย์ทั้ง 2 ครั้ง มีทั้งความเหมือนและความต่าง ที่ทิพย์นำมาเล่าให้เพื่อนๆ ฟัง เพียงแค่ต้องการสะท้อนให้เห็นถึงสภาพสังคมในปัจจุบัน ในมุมมองของคนหนึ่งคนในสังคมนี้ บางอย่างที่เรามองเห็นเราอาจคิดว่าเป็นเพียงเรื่องธรรมดา และเราก็มองผ่านเลยไป หากเราคิดพิจารณา จะพบว่าสิ่งที่เรามองผ่านเลยไปนั้นแฝงไว้ซึ่งปัญหา เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าขึ้น ทำให้คนเรามีปฏิสัมพันธ์กันน้อยลงหรือเปล่า ค่านิยมของสังคมที่ให้ความสำคัญกับวัตถุมากกว่าจิตใจ เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่น่าคิดและหาทางแก้ไข..