Sunday, August 22, 2010

OTOP Midyear 2010 ตอน 2


ไปมาอีกแล้วค่ะเพื่อนๆ เมื่อวานยังเดินไม่ครบทุกภาควันนี้ก็เลยถือโอกาสไปอีกครั้ง บรรยากาศของงานวันนี้ผู้คนคึกคักกว่าเมื่อวานเนื่องจากว่าวันนี้เป็นวันอาทิตย์


วันนี้มีภาพเขียนสีน้ำมันชื่อ "โมนาลิซ่า" (MONALISA) มาฝากเพื่อนๆ ได้ชมกัน ด้วยความประทับใจส่วนตัว เห็นปุ๊บก็รีบเข้าไปขอถ่ายรูปทันที พร้อมกับสัมภาษณ์คุณสมไชย เจ้าของภาพซึ่งเป็นผู้เขียนภาพนี้ด้วยตัวเอง คุณสมไชยเล่าว่า กว่าภาพนี้จะสำเร็จได้ต้องเขียนภาพเล็กก่อนประมาณ20ภาพ ถึงค่อยลงมือเขียนใหญ่ขนาดนี้ได้(ต้องขอโทษเพื่อนๆด้วยที่ลืมถามขนาดของภาพมา) ภาพนี้ใช้สีน้ำมัน และใช้เกรียงแทนพู่กัน ว่าแล้วคุณสมไชยก็เดินไปหยิบเกรียงมาสามอัน ซึ่งมีขนาดไม่เท่ากัน คุณสมชัยบอกว่า ถ้าเป็นบริเวณที่ต้องการความละเอียดสูงก็จะต้องใช้เกรียงที่มีขนาดเล็กลงไปอีก เช่นบริเวณดวงตา รอบดวงตา เป็นต้น อ้อ..คุณสมไชยก็เคยได้มีโอกาสบินไปชมภาพโมนาลิซ่าของจริงที่ฝรั่งเศสมาแล้ว โอ้โห พี่เค้านี่ใจรักซะจริงๆ..ภายในร้านของคุณสมไชย มีภาพเขียนจัดแสดงอยู่หลายภาพ แต่ละภาพล้วนเป็นฝีมือของคุณสมไชยทั้งนั้น และที่สำคัญ นอกจากภาพโมนาลิช่าที่มีความสวยงาม ดูลึกลับ จนทำให้ทิพย์ต้องหยุดมอง และเดินเข้าไปสัมผัสแล้ว สิ่งที่ทำให้ทิพย์ต้องตะลึงอีกครั้งก็คือ ราคาของภาพนี้ค่ะเพื่อนๆ คุณสมไชยเค้าตั้งราคาของภาพนี้ไว้สูงมากเลยทีเดียว คือ 5ล้านบาทค่ะ ขอย้ำนะคะเพื่อนๆ ว่า "5 ล้าน" ซึ่งคุณสมไชยบอกว่า จริงๆก็ไม่อยากขายเท่าไหร่ เพราะคิดว่าจะไม่เขียนภาพนี้อีกแล้ว แต่ถ้ามีใครที่เค้าชอบภาพนี้จริงๆ ก็จะขายให้ เรื่องราคาก็ต่อรองกันได้ (เป็นธรรมดาค่ะ ศิลปินมักจะชอบสร้างสรรค์ผลงานใหม่ๆ) คุณสมไชยบอกว่า ภาพนี้ถ้าเก็บไว้นานขึ้นเรื่อยๆ ก็จะยิ่งสวย ถ้ามีรอยแตกเล็กๆ ที่ใบหน้าของโมนาลิซ่าด้วยจะดูสวยและใกล้เคียงกับภาพต้นฉบับของลีโอนาโด ดาวินชี่ อีกด้วย..บอกได้เลยว่า สวยจริงๆ ค่ะเพื่อนๆ ยิ่งพอทิพย์ได้เห็นคุณสมไชยอธิบายถึงผลงานของตัวเองแล้วรู้ได้เลยว่า คุณสมไชยมีความภูมิใจในผลงานของเขามาก เขาพร้อมจะนำเสนอ อธิบายถึงความเป็นมาเกี่ยวกับผลงานของเขาอย่างเต็มใจ โดยไม่คำนึงว่าเราจะซื้อผลงานของเขาหรือไม่ เหมือนเป็นความสุขของผู้ที่สร้างสรรค์ผลงานที่ได้มีโอกาสนำเสนอผลงานแก่ผู้ที่สนใจ นี่แหละค่ะที่ทิพย์ประทับใจในความเป็นศิลปินของคุณสมไชย


วันนี้ไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือมา นอกจากภาพถ่ายรูปโมนาลิซ่าจากร้านของคุณสมไชย และภาพบรรยากาศวันที่สองของงาน แต่ก็ยังแอบวางแผนไว้ว่าจะไปอีกครั้งตอนใกล้ๆวันสุดท้าย เผื่อราคาสินค้าจะถูกลงกว่าเดิมอีกหน่อย อิอิ..

Saturday, August 21, 2010

ชมงาน OTOP Midyear 2010-21ส.ค.53







วันนี้มีโอกาสได้เข้าชมงาน OTOP Midyear 2010 ที่เมืองทองธานี ซึ่งจัดงานวันนี้เป็นวันแรก หลังจากที่เคลียร์งานเสร็จเรียบร้อย ทิพย์กับพี่แป้นก็รีบเดินทางไปกันทันที


บรรยากาศของงานในวันนี้เต็มไปด้วยความคึกคัก ในงานมีการจัดนิทรรศการและการแสดงการสาธิตกระบวนการผลิตโอทอปจากทุกจังหวัด มีร้านอาหารจำหน่ายมากมาย ทิพย์เริ่มเดินชมงานจากชาเลนเจอร์1 ซึ่งเป็น OTOP ของภาคอีสานและภาคเหนือ สินค้าที่แสดงส่วนใหญ่เป็นผ้าไหม และผ้าฝ้าย ของใช้ ของตกแต่งบ้าน


ทิพย์เดินดูสินค้าแต่ละร้านไปเรื่อยๆ เจอสินค้าชิ้นไหนถูกใจก็ซื้อไว้ อ้อ เกือบลืมบอกไปว่า ต่อราคาได้ด้วยนะ (อาศัยว่าเป็นคนบ้านเดียวกัน ก็เลยได้ส่วนลด ฮ่าๆๆ..) อันที่จริงทิพย์ว่าราคาสินค้าก็ไม่แพงนะ แต่ถ้าลดได้ก็ดี อิอิ..


ที่บูธของ จ.นครราชสีมา ทิพย์ได้ฝึกหัดทอผ้าไหมด้วยล่ะ มีกลุ่มแม่บ้านเป็นผู้สอนให้ และผ้าผืนที่ทอได้จะนำไปประมูล เนื่องจากเป็นผ้าไหมพันมือ(คาดว่าจะมีผู้สนใจฝึกทอเป็นพันคน) และผู้ที่ฝึกทอผ้าไหมต้องลงชื่อไว้ด้วย


หลังจากที่เดินชมงานอยู่หลายชั่วโมงปรากฎว่า ยังเดินดูร้านค้าได้ไม่ครบทุกภาค ได้เพียงร้านค้าที่มาจากภาคอีสานและภาคเหนือ พี่แป้นก็ชวนกลับ ทิพย์ก็เลยคิดเอาไว้ว่าก่อนจะครบกำหนดจัดงานในวันที่29ส.ค.53 จะต้องหาเวลามาชมงานอีกครั้งให้ได้


  • สรุปว่าวันนี้ทิพย์หมดเงินไปเยอะเลย แต่ก็ได้ของมาหลายชิ้น ถือว่าทิพย์ได้มีส่วนช่วยเหลือเศรษฐกิจของชาติ และช่วยเหลือให้กลุ่มผู้ผลิตโอทอปทั้งหลายได้มีกำลังใจในการผลิตสินค้าออกมาจำหน่ายอีกด้วยนะ ^___^


Friday, August 20, 2010

เรื่องเล่าจากวันหยุด

เรื่องราวที่จะเล่าให้เพื่อนๆ ฟังต่อไปนี้ เป็นอุทาหรณ์สำหรับผู้ที่ต้องการเดินทางไปต่างจังหวัดในช่วงเทศกาลหรือวันหยุดยาวว่าควรจะจองตั๋วล่วงหน้า เพื่อป้องกันการถูกเอารัดเอาเปรียบจากใครก็ไม่รู้(เพราะหาต้นตอของผู้กระทำไม่เจอ..โยนกันไปโยนกันมา..)

เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อครั้งหนึ่งทิพย์จะเดินทางกลับบ้านที่ต่างจังหวัด(จ.บุรีรัมย์) แต่บังเอิญว่าเป็นการเดินทางแบบกระทันหันไม่ได้จองตั๋วรถล่วงหน้าเอาไว้ แถมเป็นช่วงวันหยุดยาวอีกต่างหาก ค่ำวันนั้นตัดสินใจไปใช้บริการรถที่หมอชิต ไปถึงก็ตรงไปซื้อตั๋วที่ช่องบริการเลยค่ะ คิดว่าคงต้องได้รอนานแน่ๆ เพราะเราไม่ได้จองตั๋วไว้ เที่ยวแรกๆ คงจะเต็มหมดแล้ว แต่พอไปถึงพนักงานบอกว่า รถจะออกอีกประมาณ 10 นาที เป็นรถปรับอาศชั้น 1 ถ้าสนใจจะเดินทางในเที่ยวนี้ ก็ต้องจ่ายเงินค่าบริการ 340 บาท ซึ่งเป็นค่าบริการในอัตราปกติจากกรุงเทพฯไปบุรีรัมย์ (เพราะทิพย์เคยใช้บริการมาแล้วหลายครั้ง) ก็เลยตกลงซื้อตั๋วทันที จากนั้นก็รีบไปยังชานชาลาเพื่อขึ้นรถ ไปถึงก็งงๆ เพราะรถที่เห็นกลับไม่ใช่รถ ป.1 อย่างที่เราเคยนั่ง ก็แปลกใจนะ แต่ก็เดินขึ้นไปแบบงงๆ อย่างนั้นแหละ ขึ้นบนรถก็ได้ยินผู้โดยสารที่นั่งอยู่คุยกันว่าทำไมเค้าถึงเอาเปรียบมากขนาดนี้ ตอนขายตั๋วบอกว่าเป็นรถปรับอากาศชั้น 1 แต่พอขึ้นรถจริงๆ กลับเป็นรถ ป.2 สภาพแตกต่างกับรถ ป.1 มาก เราก็เลยขอดูตั๋วของคนที่นั่งข้างๆ เออ เราไม่ได้ขึ้นผิดคันแน่ๆ สักพักก็มีน้องผู้หญิงคนหนึ่งเดินไปพูดกับพนักงานบนรถถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผู้โดยสารทุกคน ว่าพวกเราทุกคนโดนเอาเปรียบนะ จากนั้นก็พากันลงชื่อ คิดว่าจะต้องเอาเรื่องกับบริษัทนี้แน่ๆ (น้องเค้าบอกว่าจะฟ้อง สคบ.) พอเกิดปัญหาแบบนี้พนักงานก็เลยติดต่อไปหาใครก็ไม่รู้ และอีกประมาณหนึ่งชั่วโมงก็เอาเงินมาคืนผู้โดยสารทุกคนๆ ละ 100 บาท และเปลี่ยนรถคันใหม่ให้ กว่าจะได้ออกเดินทางทิพย์ต้องนั่งรออยู่บนรถเกือบสองชั่วโมง เข็ดกับการเดินทางแบบกะทันในช่วงเทศกาลไปเลย

เหตุการณ์ในวันนั้นทำให้ทิพย์คิดนะว่า ไม่รู้ว่าจะมีคนที่เจอกับเหตุการณ์แบบนี้กันอีกกี่คน ทุกๆเทศกาลหรือวันหยุดติดต่อกันหลายวันเกิดเหตุการณ์แบบนี้มาแล้วกี่หน แล้วจะมีซักกี่ครั้งที่ผู้โดยสารอย่างเราจะกล้าทวงคืนความเป็นธรรมให้กับตัวเอง นึกชื่นชมในความกล้าของน้องผู้หญิงคนนั้น และอีกหลายๆ คน เมื่อใดที่เราถูกเอารัดเอาเปรียบเมื่อใดที่รู้สึกว่าเกิดความไม่เป็นธรรมขึ้น และเราไม่ยอมรับกับการกระทำนั้น เราร่วมมือกันต่อต้าน ต่อสู้เพื่อให้ได้รับความยุติธรรมกลับคืนมา เหตุการณ์ในวันนั้นเป็นตัวอย่างของการรวมพลังกันของคนกลุ่มเล็กๆ ที่สามารถเรียกร้องให้ผู้ที่เอารัดเอาเปรียบต้องหันกลับมามองว่า พวกเขาไม่ควรจะทำอย่างนั้นอีก เพราะสิ่งที่พวกเขาได้รับมันอาจไม่คุ้มกับความเสียหายในอนาคต และพวกเขาก็ควรปฏิบัติในสิ่งที่ถูกต้อง เป็นธรรม มีความซื่อสัตย์กับอาชีพของเขาจะดีที่สุด

ถ้าในสังคม คนทุกคน ทุกอาชีพ มีความซื่อสัตย์สุจริต มีความรับผิดชอบ ทั้งต่อตนเองและสังคมแล้ว สังคมนี้คงจะน่าอยู่ขึ้นอีกไม่น้อยเลยทีเดียว..

Thursday, August 19, 2010

เที่ยวงานแห่เทียนวันเข้าพรรษาที่บุรีรัมย์


ปีนี้มีโอกาสได้ไปดูงานแห่เทียนวันเข้าพรรษาที่ จ.บุรีรัมย์ (27ก.ค.53) แต่ก่อนที่จะเล่าถึงบรรยากาศของงาน ต้องขอพูดถึงวันเข้าพรรษาก่อนซักนิดนึง วันเข้าพรรษา เป็นวันสำคัญในพุทธศาสนาวันหนึ่ง ที่พระสงฆ์เถรวาทจะอธิษฐานว่า จะพักประจำอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่ง ตลอดระยะเวลาฤดูฝนที่มีกำหนดเป็นระยะเวลา 3 เดือน ตามที่พระธรรมวินัยบัญญัติไว้ โดยไม่ไปค้างแรมที่อื่น หรือที่เรียกติดปากกันโดยทั่วไปว่า จำพรรษา พิธีเข้าพรรษานี้ ถือเป็นขัอปฏิบัติสำหรับพระสงฆ์โดยตรง ละเว้นไม่ได้ ไม่ว่ากรณีใดๆก็ตาม การเข้าพรรษาตามปกติเริ่มนับตั้งแต่ วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ของทุกปี (หรือเดือน 8 หลัง ถ้ามีเดือน 8 สองหน) และสิ้นสุดลงในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 หรือวันออกพรรษา


ไปดูงานแห่เทียนพรรษาครั้งนี้ จุดที่ไปยืนชมเป็นจุดเริ่มต้นของขบวนแห่ อยู่ข้างเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ ขบวนจะเคลื่อนไปรอบเมือง ผ่านหอนาฬิกา ตลาด สถานีตำรวจ และกลับมาสิ้นสุดที่เดิม แต่บอกก่อนว่าทิพย์ไม่ได้เดินไปพร้อมกับขบวนแห่หรอก เพราะจากที่ประมาณระยะทางแล้วก็ไกลพอสมควร (สำหรับทิพย์นะ) ก็ได้แต่ยืนดูที่จุดเริ่มต้น โชคดีที่วันนั้นช่วงเช้าครึ้มฟ้าครึ้มฝน บางครั้งก็ฝนตกปรอยๆ บางครั้งแดดออกแต่ก็ไม่ร้อนมากนัก บรรยากาศของงานสนุกมากๆ (สังเกตุจากชาวบ้านที่มาในขบวนแห่ ทั้งเต้น ทั้งรำ น่าสนุกดี) เพื่อนบอกว่ามีประกวดขบวนแห่ด้วย แต่ละขบวนมาจากวัดต่างๆ มีการตกแต่งต้นเทียนอย่างสวยงาม มีนักเรียนเข้าร่วมในขบวนแห่ด้วย ซึ่งทิพย์คิดว่าดีนะ เป็นการปลูกฝังให้เยาวชนอนุรักษ์วัฒนธรรม ประเพณีไทย อย่างน้อยก็ไม่สูญสลายไปตามกาลเวลา หรือลงลืมกันไปเพราะหันไปนิยมวัฒนธรรมต่างชาติกันซะหมด


สรุป ไปเที่ยวงานแห่เทียนวันเข้าพรรษาครั้งนี้รู้่สึกภูมิใจในความเป็นไทย ประเทศเรามีอะไรดีๆ ที่ประเทศอื่นไม่มีอย่างเรา คนไทยเราก็มีใจรักในประเพณีของเราและยังร่วมกันสืบทอดเอาไว้ไม่ให้สูญหายไปอีกด้วย ต่อให้อีกร้อยปี หรือหลายร้อยปี ประเพณีแห่เทียนพรรษาก็ยังคงจะมีอยู่คู่กับบ้านเมืองเราสืบไป


ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก th.wikipidia.org