Friday, October 29, 2010

ขึ้นศาลครั้งแรกในชีวิต..


ไปขึ้นศาลครั้งแรกในชีวิต เมื่อวันที่ 26 ต.ค.53 ที่ศาลแขวงพระนครใต้ ซอยเจริญกรุง72/1 ถ.เจริญกรุง เหตุที่ต้องไปขึ้นศาลในครั้งนี้ก็เนื่องมาจากเรื่องงานค่ะ ประชาชนเขาฟ้องร้องกันแล้วอ้างเรา(หน่วยงาน)เป็นพยาน และทิพย์ก็ได้รับมอบหมายให้ไปเป็นพยานที่ศาลในครั้งนี้นั่นเองค่ะ
.
ไปถึงศาลก็ประมาณแปดโมงครึ่ง โอ้โห ที่ศาลน้ำท่วมค่ะเพื่อนๆ สงสัยจะเป็นช่วงเวลาที่น้ำขึ้นพอดี ทีแรกก็ตกใจ นึกว่าจะเข้าศาลไม่ได้ แต่เจ้าหน้าที่รปภ.บอกว่า เข้าได้แต่ต้องลุยน้ำกันนิดหน่อย ก็ไม่เป็นไรค่ะ ไปถึงทันเวลาเป็นอันใช้ได้ เห็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายโยธาเขตเรา(บางคอแหลม)เข้ามาดูแล ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์อย่างนี้ก็น่าชื่นชมค่ะ
.
หลังจากที่ทำหน้าที่เสร็จเรียบร้อยก็ได้เวลาอาหารเที่ยงพอดี (น้ำก็ลดลง ไม่ท่วมแล้วค่ะ) น้องเขมบอกว่าระหว่างที่รอทิพย์ ได้เดินไปเจอร้านข้าวแกงอยู่ริมน้ำ บรรยากาศดี ทิพย์ก็เลยบอกว่าให้นำทางไปเลย เพราะต้องรีบกลับเข้าสำนักงานในช่วงบ่าย

พอเดินลงจากศาลก็เลี้ยวขวา เดินอีกนิดเดียวก็ถึงร้านแล้วค่ะ อาหารที่นี่ราคาไม่แพง รสชาติก็ใช้ได้ แต่ที่ชอบก็คือบรรยากาศริมแม่น้ำนี่แหละ ช่วยทำให้เจริญอาหารจริงๆ นั่งทานไปมองแม่น้ำเจ้าพระยาไปข้าวหมดจานตอนไหนก็ไม่รู้ ฮ่าๆๆ ทิพย์แอบไปกระซิบถามแม่ค้าว่า เปิดขายทุกวันหรือเปล่า แม่ค้าบอกว่า เปิดวันจันทร์ถึงวันเสาร์ ก็เลยบอกแม่ค้าไปว่า แล้วจะมาอุดหนุนบ่อยๆ เป็นลูกค้าขาประจำกันไปเลย เพราะอยู่ไม่ไกลจากที่พัก แม่ค้าก็อัธยาศัยดี เป็นกันเองดีค่ะ
.
ถ้าวันไหนว่างๆ เพื่อนๆน่าจะลองไปนั่งทานดูนะ ไม่แน่นะคะ เพื่อนๆอาจจะชอบบรรยากาศของที่นี่เหมือนทิพย์ และอาจกลายเป็นลูกค้าขาประจำของที่นี่เลยก็ได้ (ไม่ได้รับค่าโฆษณาจากทางร้านแต่อย่างใด เป็นความชื่นชอบส่วนตัวจริงๆค่ะ)

Wednesday, October 20, 2010

รุมตบนักเรียนหญิงหน้าห้างดัง..สะท้อนเยาวชนขาดจริยธรรม

วันนี้ (20ต.ค.53) นัดกับพี่แป้นว่าจะไปเดอะมอลล์กัน พี่แป้นบ่นอยากกินก๋วยเตี๋ยวเนื้อเจ้าอร่อย ที่จริงทิพย์ก็อยากจะลองชิมดูมั่งเหมือนกัน นี่ถ้าไม่ติดว่าทิพย์ตั้งใจไว้ว่าจะไม่กินเนื้ออีก คงต้องได้ลองชิมดูสักชามล่ะ เห็นพี่แป้นกับฝ่ายชมกันจังว่าอร๊อยยยย อร่อย (ฝ่ายเชาวนาทก็ไปด้วยนะ แถมเป็นเจ้ามือเลี้ยงข้าวมื้อนี้อีก ขอบคุณนะคะ)

หลังจากกินข้าวเสร็จ ฝ่ายก็แยกตัวกลับก่อนเนื่องจากติดภารกิจทางบ้าน ทิพย์กับพี่แป้นก็พากันเดินดูนู่นดูนี่กันไปเรื่อยประสาผู้่หญิงอ่ะนะ แหม..ก็ผู้หญิงกับเรื่องช็อปปิ้งน่ะ เป็นของคู่กัน

เดินกันจนเมื่อยก็ถึงเวลากลับ ระหว่างที่ยืนรอรถก็มีเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น เด็กนักเรียนหญิงคนหนึ่งถูกกลุ่มเด็กผู้หญิงวัยเดียวกัน(อายุประมาณ 14-16 ปี) ประมาณ 5-8 คน รุมตบ ขณะเกิดเหตุทิพย์ได้ยินเสียงแม่ค้าที่อยู่ในที่เกิดเหตุตะโกนไล่และมีผู้ชายคนหนึ่งวิ่งเข้ามาห้าม เด็กผู้หญิงกลุ่มนั้นจึงพากันวิ่งหนีไป

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นว่า ตอนนี้สังคมกำลังป่วยหนัก เยาวชนขาดความรู้สึกผิดชอบชั่วดี ไม่เกรงกลัวต่อความผิด ขาดความยับยั้งชั่งใจ มีพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรง

ทิพย์คิดว่าสาเหตุส่วนใหญ่อาจเกิดจากปัญหาต่างๆ เช่น

1. เศรษฐกิจภายในครอบครัว หลายครอบครัว พ่อแม่ต้องดิ้นรน ปากกัดตีนถีบ ทำงานหาเลี้ยงชีพ ไม่มีเวลาดูแลบุตรหลานของตน ปล่อยปละละเลยขาดการอบรม เด็กจึงไม่รู้ว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดผิด สิ่งใดควรทำ ไม่ควรทำ

2. ความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ในโลกยุคไร้พรมแดน ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ใดสามารถรับรู้ข่าวสารต่างๆ ได้อย่างทั่วถึง แต่ในขณะเดียวกันเทคโนโลยีก็ส่งผลด้านลบต่อสังคมได้เช่นกัน เด็กหลายคนติดอินเตอร์เน็ต ติดแชท ติดเกมส์ออนไลน์ เสี่ยงต่อการถูกล่อลวง เกิดพฤติกรรมเลียนแบบความรุนแรงจากเกมส์คอมพิวเตอร์ ขาดการเรียนรู้และปรับตัวในโลกของความเป็นจริง

3. ด้านการจัดการศึกษา ระบบการศึกษาในปัจจุบันมุ่งเน้นให้เด็กเรียนเก่ง จบมาจะได้ทำงานที่ได้เงินเยอะๆ ไม่ค่อยมุ้งเน้นเรื่องคุณธรรม จริยธรรม ในความคิดของทิพย์คิดว่ามันเป็นอะไรที่ฉาบฉวยไม่ลึกซึ้ง เมื่อก่อนตอนทิพย์เด็กๆ ตอนเช้าเวลาแปดโมงเช้าต้องเข้าแถวเคารพธงชาติ สวดมนต์ ยืนทำสมาธิ และฟังคุณครูอบรมสั่งสอนก่อนแยกย้ายเข้าห้องเรียน เลิกเรียนสี่โมงเย็นก็ต้องสวดมนต์ก่อนกลับบ้าน ทุกวันศุกร์ เวลาบ่ายสามโมง นักเรียนทุกคนต้องมายืนเรียงแถวหน้าห้องเพื่อสวดมนต์และนั่งสมาธิ ฟังคุณครูบรรยายเรื่องคุณธรรม จริยธรรม บางทีก็จะมีพระสงฆ์มาบรรยายธรรมะ ถึงวันพระคุณครูก็พานักเรียนไปช่วยกันทำความสะอาดวัด ทำนุบำรุงพระศาสนา ทั้งหมดที่ทิพย์พูดมาชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างของระบบการจัดการศึกษาในอดีตกับปัจจุบัน ซึ่งการศึกษาในปัจจุบันมุ่งเน้นด้านวัตถุมากกว่าด้านจิตใจ

ปัญหาเหล่านี้ควรได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วนค่ะ และทิพย์ก็เชื่อว่าปัญหาทุกอย่างย่อมแก้ไขได้อย่างแน่นอน หากทุกภาคส่วนร่วมมือกัน ไม่ใช่ทำเพียงแค่ส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือด้านใดด้านหนึ่ง การให้ความสำคัญกับเยาวชนเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะเยาวชนคืออนาคตของชาติ..ชาติไทยเราจะเป็นอย่างไรถ้าปล่อยให้เยาวชนของชาติขาดจริยธรรม?

Tuesday, October 19, 2010

น้ำท่วม ใครว่าดีกว่า ฝนแล้ง..แด่..โคราช เมืองบาดาล..


ตอนนี้เปิดทีวีช่องไหน เราก็จะได้พบเห็นกับภาพข่าวน้ำท่วม โดยเฉพาะที่อำเภอเมืองนครราชสีมา น้ำเข้าท่วมตัวเมืองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โรงพยาบาลใหญ่ๆ อย่างเช่น รพ.มหาราช ก็ต้องเร่งขนย้ายผู้ป่วยส่งต่อให้โรงพยาบาลใกล้เคียงที่ไม่ประสบกับภาวะน้ำท่วมกันอย่างทุลักทุเล เห็นภาพข่าวแล้วน่าเอน็จอนาถใจ ผู้คนเดือดร้อน ไร้ที่อยู่อาศัย บ้านเรือนจมอยู่ใต้บาดาล ทรัพย์สิน สัตว์เลี้ยง พืชผลการเกษตร เสียหายไปหมด

ในขณะที่ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก ธารน้ำใจจากชาวไทยก็ไหลเข้าช่วยเหลืออย่างไม่ขาดสาย สิ่งของบรรเทาทุกข์ ถุงยังชีพ ข้าวสาร อาหารแห้ง จำนวนมาก ถูกแจกจ่ายให้กับชาวบ้านอย่างต่อเนื่อง เห็นแล้วซาบซึ้งในน้ำใจของคนไทยจริงๆค่ะ

แต่ทิพย์ก็อดสงสัยไม่ได้จริงๆ ค่ะว่า ทำไมน้ำท่วมโคราชได้ทั้งๆที่โคราชเป็นที่ราบสูงแท้ๆ

จากที่ทิพย์ได้ติดตามข้อมูลข่าวสารมาโดยตลอด ทำให้ทราบว่า สาเหตุใหญ่ๆ ของวิกฤติน้ำท่วมในครั้งนี้ก็คือ น้ำป่าจากเขาใหญ่ และพายุฝน ซึ่งเกิดฝนตกตลอด 2-3 วัน ทำให้ปริมาณน้ำมากเกินกำลังที่เขื่อนต่างๆจะเก็บกักน้ำไว้ได้ โดยเฉพาะเขื่อนลำพระเพลิงที่ไม่สามารถรองรับปริมาณน้ำได้อีก จำเป็นต้องปล่อยน้ำเข้าสู่พื้นที่ใต้เขื่อน ทำให้น้ำท่วมสูงขึ้น ไหนจะเขื่อนลำตะคองที่ต้องระบายน้ำออกเนื่องจากกลัวว่าเขื่อนจะแตก ถึงแม้จะได้มีการออกมาประกาศเตือนภัยให้ประชาชนเร่งอพยพขนข้าวของขึ้นสู่ที่สูงแล้วก็ตาม แต่ปริมาณน้ำที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วขนาดนั้นใครจะหนีทันล่ะคะ (จากภาพข่าวที่ได้เห็น น้ำไหลเชี่ยวน่ากลัวมากค่ะเพื่อนๆ)

สิ่งหนึ่งที่ทำให้ทิพย์สะดุดและหยุดคิดก็คือ น้ำท่วมครั้งนี้หรือจะเป็นเพราะธรรมชาติเอาคืน ก็บุกรุกถมที่ เข้าครอบครองพื้นที่ ตัดไม้ทำลายป่ากันนักนั่นไงคะเพื่อนๆ ไปดูเอาเถอะว่าเขาใหญ่ตอนนี้สภาพเป็นยังงัย บางที่โล่งเตียน บางที่มีรีสอร์ท สนามกอล์ฟ มั่งล่ะ ฝีมือใครกันล่ะคะ ถ้าไม่ใช่นายทุนและชาวบ้านบางส่วนที่หลงผิดและรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ผลลัพท์ก็เป็นอย่างที่เห็น เกิดน้ำท่วมใหญ่ ผู้คนที่ได้รับความเดือดร้อน เราจะเอาแต่โทษธรรมชาติว่าโหดร้ายไม่ได้หรอกค่ะ เพราะส่วนหนึ่งมันเกิดจากฝีมือมนุษย์ด้วยกันเองทั้งนั้น

เหตุการณ์น้ำท่วมในครั้งนี้ คงจะพอทำให้หลายๆ คน รวมถึงผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมือง หันมาสนใจและร่วมกันค้นหาสาเหตุ หาทางป้องกันและแก้ไข เพื่อไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดอีกในอนาคต

ด้วยสมองและกำลังอันน้อยนิดของทิพย์ คงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงหรือสร้างสิ่งต่างๆ ให้ดีขึ้นได้ แต่ถ้าทุกๆ คนร่วมด้วยช่วยกันคิด ช่วยกันทำ สิ่งที่เรามุ่งหวังย่อมสำฤทธิ์ผลอย่างแน่นอนค่ะ


ขอขอบคุณรูปภาพจาก http://www.kctv.co.th/

Wednesday, October 13, 2010

ว่าด้วยเรื่อง..ฆ่าตัวตาย..

ขณะที่คดีฆาตกรรมอำพรางนางแบบสาวเซ็กซี่แห่งนิตยสาร FHM กำลังเป็นที่สนใจของหลายๆ คน และยังอยู่ระหว่างการสืบสวนหาสาเหตุของการตายปริศนาของนางแบบสาวรายนี้ั และอีกไม่นานเราก็คงจะได้ทราบกันว่าจริงๆแล้ว นางแบบสาวคิดสั้นฆ่าตัวตายหรือว่าจะเป็นการฆาตกรรม? พอได้อ่านข่าวนี้ ทิพย์ก็มีเรื่องที่จะนำมาเล่าให้เพื่อนๆ ฟัง แต่เรื่องที่จะเล่านี้ไม่เกี่ยวข้องกับคดีนี้เลย ไม่ใช่การตามล่าหาความจริง วิเคราะห์ หรือสืบเสาะหาเบาะแส ใดๆทั้งสิ้น แต่ประเด็นที่ทิพย์จะหยิบยกมาพูดถึงก็คือ ประเด็นเรื่อง "การฆ่าตัวตาย"

พอทิพย์พูดถึงเรื่องฆ่าตัวตาย เพื่อนๆคงจะพากันคิดแล้วล่ะว่า เอ..วันนี้ทิพย์มาแปลก นึกยังงัยถึงพูดถึงเรื่องนี้ อารมณ์ไหนกันเนี่ย? ไม่ใช่อารมณ์อยากฆ่าตัวตายแน่ๆ อย่าพึ่งคิดไปกันใหญ่ พุทธศาสนาของเราถือว่าการฆ่าตัวตาย (อัตตวินิบาต) เป็นบาปมหันต์ ใครฆ่าตัวตายน่ะ นรกอย่างเดียวเลยค่ะเพื่อนๆ เราชาวพุทธก็ต้องเชื่อในบาป บุญ นรก สวรรค์ (ถึงใครจะพูดขึ้นมาว่า สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจก็เหอะ..นั่นมันก็ถูก จะสุขหรือทุกข์มันก็อยู่ที่ใจเรา) พุทธศาสนาของเราสอนให้ทุกคนทำความดี ละเว้นความชั่ว และทำจิตใจให้บริสุทธิ์ สาธุ..

กลับมาเล่ากันต่อ เมื่อประมาณเดือนก่อน ทิพย์ได้อ่านหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ซึ่งลงข่าวเรื่องวันป้องกันการฆ่าตัวตาย ทำให้ทิพย์ได้ทราบว่า ในวันที่ 10 กันยายน ของทุกปี เป็นวันที่องค์การอนามัยโลกกำหนดให้เป็นวันป้องกันการฆ่าตัวตายโลก ซึ่งปัญหาการฆ่าตัวตายก็เป็นปัญหาสำคัญของประเทศไทย ซึ่งจากรายงานพบว่าอัตราการฆ่าตัวตายอยู่ในปริมาณสูงกว่าปีที่แล้ว และวิธีการฆ่าตัวตายถูกพัฒนาขึ้นมาอีกมากมาย ทิพย์รู้สึกทึ่งค่ะเพื่อนๆ เคยได้ยินแต่การพัฒนาด้านเทคโนโลยี หรือไม่ก็อาวุธยุทโธปกรณ์ ยาต่อต้านหรือยารักษาโรคร้ายแรงต่างๆ แต่นี่แปลก คนเราถึงเวลานึกอยากจะตาย ก็ยังอุตส่าห์พัฒนาวิธีการตายอีก เฮ่อ..

เพื่อนๆ รู้หรือไม่คะว่าการฆ่าตัวตายที่รวบรวมมาได้มีถึง 16 วิธีด้วยกัน คือ การตัดหัว การกรีดเส้นเลือดที่มือหรือคอ การกระโดดน้ำตาย การรมควันด้วยก๊าซพิษ การช็อตด้วยไฟฟ้า การะเบิด การแขวนคอ การกระโดดจากพาหนะที่กำลังเคลื่อนที่ เช่น รถไฟ รถไฟใต้ดิน รถยนต์โดยสารและเรือโดยสาร การกระโดดสะพานและตึกสูง การวางยาและการกินยาตาย การเผาตัวเอง เซ็บปุกุหรือการคว้านท้องแบบซามูไร การยิงตัวตาย การอดอาหารประท้วง การระเบิดพลีชีพ และการฆ่าตัวตายทางอ้อม เช่น การอาสาไปร่วมรบโดยหวังจะถูกยิงตาย(อันนี้ตายแบบไม่ไร้ประโยชน์แต่ถึงยังงัยก็ไม่ดีนะคะ) โดยสถิติขององค์การอนามัยโลกพบว่า ทุก 40 วินาทีจะมีผู้่ฆ่าตัวตายสำเร็จ 1 คน ประเทศที่มีการฆ่าตัวตายสูงสุด ได้แก่ ประเทศลิทัวเนีย และรัสเซีย..

เป็นงัยคะเพื่อนๆ อ่านแล้วรู้สึกอย่างไรกันบ้าง ส่วนทิพย์อ่านแล้วหดหู่ค่ะ บอกได้คำเดียวเลยว่าหดหู่มากกกกก..คนเราหนอคนเรา กว่าจะได้เกิดมาเป็นตัวเป็นตน เป็นคนมีชีวิตได้ทุกวันนี้ ต้องต่อสู้ดิ้นรนมาตั้งแต่ก่อนจะได้เกิด ต้องเป็นตัวอสุจิเล็กๆ มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แก่งแย่ง แข่งขันกัน เพื่อที่จะได้ปฏิสนธิ เกิดเป็นก้อนเลือดก้อนเนื้อที่มีชีวิต พอได้เกิดกลับเห็นชีวิตของตัวเองไม่มีค่า เจอปัญหาเข้าหน่อย คิดทำลายชีวิตตัวเองไปซะอย่างนั้น ไม่ได้คิดเลยว่ากว่าจะมีชีวิตรอดมาจนเป็นคนสมบูรณ์ได้จนถึงวันนี้ต้องลงทุน ลงแรงไปเท่าไหร่ (ไหนจะพ่อแม่อีกล่ะท่านต้องลงทุนทั้งแรงกายและแรงใจไปตั้งเท่าไหร่ ท่านจะเสียใจแค่ไหน) บางคนบาปหนักเข้าไปอีก ฆ่าตัวตายคนเดียวยังไม่พอ ฆ่าลูก ฆ่าเมีย ฆ่าคนอื่นไปด้วย..(สงสัยว่าตายคนเดียวแล้วกลัวจะเหงามั๊ง?)

ไหนๆ เราก็ต่อสู้ดิ้นรนมาตั้งแต่ก่อนจะเกิดกันแล้ว พอมีชีวิตรอดมาเป็นคนได้ ก็ต้องต่อสู้ดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดของชีวิตกันต่อไป หยุดซะเถอะค่ะ ใครที่คิดจะฆ่าตัวตายเพื่อการแก้ปัญหา โปรดหยุดคิดสักนิด สัตว์เดรัจฉานมันยังรักชีวิตของมัน เราเป็นคนแท้ๆ อย่าได้แพ้สัตว์เดรัจฉานเลยค่ะ

ที่ทิพย์นำเรื่องนี้มาเล่าก็เพื่อเป็นการให้กำลังใจ และเตือนสติเพื่อนๆ ทุกคน ปัญหาต่างๆ มันมีทางออก เพียงแต่เราต้องมีสติ เมื่อมีสติก็จะเกิดปัญญา มีปัญญาก็จะจัดการกับปัญหาได้แน่นอน ชีวิตอาจไม่สวยงามนักแต่ก็มีทางเลือกให้เราเสมอค่ะ เป็นกำลังใจให้เพื่อนๆ นะคะ วันพรุ่งนี้อาจมีอะไรดีๆ รอเราอยู่ก็ได้ค่ะ ^___^