Monday, December 20, 2010

งาน Motor Expo 2010 - เมืองทองธานี


ไปงาน Motor Expo 2010 มาเมื่อวันที่ 11 ธ.ค.53 แต่เพิ่งจะมีเวลาว่าง+อารมณ์สุนทรีย์มานั่งเขียนเอาวันนี้ และที่สำคัญคือ ถ้ายิ่งปล่อยให้นานวันบรรยากาศในวันนั้นจะค่อยๆเลือนลางไปจากความทรงจำ ทำให้ต้องมานั่งนึกกันใหม่ว่า เอ..วันนั้นเราเริ่มต้นยังงัย และจบลงยังงัย..

เมื่อวันที่ 11 ธ.ค. 53 หลังจากเลิกงานก็เดินไปเล่นที่ห้องพี่กุ้ง ทำให้ได้รู้ว่าพี่กุ้งกับน้องชายและน้องสะใภ้ของพี่กุ้งจะไปงาน Motor Expo กัน เท่านั้นแหละ เข้าทางเราเลย ไปด้วยซะเลย แหม ก็ทิพย์กำลังว่างอยู่พอดีนี่คะ ก็อยากไปกะพี่ๆเค้าน่ะสิ (ถ้าเราอยู่แต่ในบ้าน ก็เหมือนกับเราอ่านหนังสือแค่หน้าเดียว เราก็ต้องออกไปดูโลกภายนอกบ้าง ไปดูอะไรต่อมิอะไรที่มันเปลี่ยนแปลงไป สมัยนี้เทคโนโลยีพัฒนาเร็วยังกะติดจรวด ยังงัยทิพย์ก็ขอร่วมสมัยไม่ตกเทรนด์นิดนึงน่ะค่ะ)

บรรยากาศที่งานคึกคักเลยทีเดียวค่ะ รถแต่ละค่าย ไม่ว่าจะเป็น โตโยต้า ฮอนด้า อีซูซุ มิตซูบิชิ นิสสัน ฯลฯ ก็นำรถมาจอดแสดงให้ผู้ที่สนใจได้สัมผัสและลองนั่งกันได้ด้วยค่ะ (ยกเว้นรถยนต์บางค่ายที่ราคาแพง+หรู) งานนี้พี่กุ้งกับน้องๆ ลองนั่งกันเพลินเลยค่ะ พี่เก่ง(น้องพี่กุ้ง)บอกว่า จะซื้อรถมันต้องใจเย็นๆ ค่อยๆ ดู ค่อยๆ เลือก ค่อยๆ นั่ง แล้วค่อยตัดสินใจ แต่..คุณพี่คะ เห็นคุณพี่ลองนั่งมันซะทุกคันเลยค่ะ ไม่เห็นคุณพี่จะตัดสินใจเลยล่ะคะ (แอบแซวนิดนึง ฮ่าๆ) คือ จริงๆ แล้วพี่เก่งตั้งใจจะไปดูรถกระบะค่ะ บูธไหนมีรถกระบะจอดแสดงอยู่พี่แกแวะทุกบูธ คุยกับเซลเป็นนานสองนาน แต่สุดท้ายพี่เก่งก็บอกว่า สอบถามไว้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจ งานนี้ก็เลยยังตัดสินใจไม่ได้ค่ะ

ส่วนทิพย์ก็เดินดูไปเรื่อย ดูทุกบูธ ถ่ายรูปไปเรื่อย และที่สำคัญคือ ตั้งใจนำภาพบรรยากาศในงานมาฝากเพื่อนๆนั่นเองค่ะ แอบกระซิบนิดนึงว่า พริตตี้ที่งานนี้สวยๆทั้งนั้นเลยค่ะ แต่ที่เห็นอยู่ในภาพน่ะ ทิพย์เองนะคะ อย่าเข้าใจผิด ฮ่าๆๆ (ถ้าให้ทิพย์ไปเป็นพริตตี้เกรงว่ารถเขาจะขายไม่ออกน่ะค่ะเพื่อนๆ) ไว้ครั้งหน้าไปที่ไหน ทิพย์จะรีบนำมาอัพเดทให้เพื่อนๆ ได้อ่านกันอีกนะคะ

Friday, December 10, 2010

ชมงานนิทรรศการการบินพลเรือน-ท่าอากาศยานดอนเมือง






วันนี้เป็นวันรัฐธรรมนูญ(10 ธ.ค.53) เป็นวันที่ระลึกถึงโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าพระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2475 เป็นรัฐธรรมนูญถาวรฉบับแรกของประเทศไทย โดยผลของการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 ซึ่งประกาศใช้เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2475 ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎร จากระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็น ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ (ประชาธิปไตย) เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน ปีเดียวกัน และรัฐธรรมนูญฉบับที่ใช้อยู่ในปัจจุบันเป็นฉบับที่ 18 ประกาศใช้เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2550

เนื่องจากเป็นวันหยุด ก็เลยมีโอกาสได้ไปชมงานนิทรรศการการบินพลเรือนครั้งที่ 2 จัดแสดง ณ ท่าอากาศยานดอนเมือง ซึ่งจุดประสงค์ของการจัดการก็เพื่อเผยแพร่พระปรีชาสามารถของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฏราชกุมาร และเป็นการฉลองโอกาสครบรอบ 100 ปี การบินของราชอาณาจักรไทย การจัดแสดงมี 3 วัน ตั้งแต่วันที่ 9-11 ธันวาคม 2553 เวลาประมาณ 10.00-16.00 น. ค่ะ

ที่บริเวณลานจอดของท่าอากาศยานดอนเมือง มีเครื่องบินแบบต่างๆ ของหน่วยงานด้านการบินมาจอดแสดงอยู่ประมาณ 86 ลำ ที่จำชื่อได้ก็มี เครื่องบินนางสาวสยาม (Miss Siam) เครื่องบินของครอบครัวข่าวของช่องสามก็มาจอดแสดงด้วยค่ะ ผู้ที่มาชมงานสามารถเข้าชมและสัมผัสได้อย่างใกล้ชิดกันเลยค่ะ

แต่ที่น่าตื่นเต้นและเป็นไฮไลน์ของงานนี้ก็คือ การแสดงการบินแบบผาดแผลงของเครื่องบินรูปแบบต่างๆ ค่ะ จากภาพด้านบนที่มีฝูงบินบินเรียงแถวกันคือ การบินหมู่ของสำนักฝนหลวงและการบินเกษตรค่ะ ล่างลงมาคือภาพของนักบินสิบท่านบนเครื่องบินทั้ง 5 ลำ ถัดลงมาก็เป็นการแสดงการบินผาดแผลงของเฮลิคอปเตอร์แบล็กฮอร์ค ของกองการบินทหารบก ส่วนสองภาพล่างคือภาพของนักบินของเฮลิคอปเตอร์แบล็กฮอร์คค่ะ และที่น่าหวาดเสียวที่สุดคือการแสดงการบินแบบผาดแผลงของเครื่องบินแบบเอ็กตร้า300 จากวิทยาลัยการบินนานาชาตินครพนม โดยนักบินคือครูเหยี่ยว นาวาอากาศโท วชิรากรณ์ จิ่นจัน ซึ่งเป็นนักบินผาดแผลงที่มีชื่อเสียงคนนึงของประเทศไทยค่ะ น่าเสียดายที่ทิพย์ไม่ได้เก็บภาพการแสดงการบินของครูเหยี่ยวมาฝากเพื่อนๆ เนื่องจากชมการแสดงการบินเพลินจนลืมถ่ายภาพ เรียกได้ว่า ตื่นเต้นและหวาดเสียวจนเกือบลืมหายใจกันเลยล่ะค่ะ

ถ้าเพื่อนๆ คนไหนสนใจหรืออยากพาน้องๆ หนูๆ ไปชมงานนี้ ยังมีถึงวันพรุ่งนี้อีกวันนึงนะคะ อ้อ น้องๆ ที่อายุระหว่าง 10-15 ปี ยังมีสิทธิ์จับสลากเพื่อขึ้นเครื่องบินของครอบครัวข่าวของช่องสาม โดยคุณฐาปนีย์ เอียดศรีชัย จะพาน้องๆ ไปชมรอบๆเกาะเกร็ดอีกด้วยค่ะ ส่วนทิพย์น่ะอยากจับสลากมั่ง แต่อายุเกินค่ะเพื่อนๆ เสียดายจัง!

เกือบลืมบอกเพื่อนๆ ไปว่า ทางกองบินพลเรือนมีรถบริการรับส่งจากอนุสาวรีย์ชัยถึงลานจอดของท่าอากาศยานดอนเมืองเลยค่ะ จุดจอดมีสองที่ คือ ที่อนุสาวรีย์ชัยและหน้าสวนจตุจักร(หมอชิต) งานนี้ ฟรีทั้งค่าเดินทางและค่าเข้าชมงานเลยค่ะ ถ้าเพื่อนๆ ว่างก็ไปชมกันนะคะ ไปดูความสามารถของนักบินไทยกัน เก่งสุดๆ..สุดยอดไปเลยค่ะ..
.
.
ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://th.wikipedia.org/

ไปสัมมนา ณ โรงแรมปรินซ์ พาเลซ มหานาค


ไปสัมมนาโครงการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจในการนำแผนบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2552-2555 ไปสู่การปฏิบัติ เมื่อวานนี้ (9ธ.ค.53) ที่โรงแรมปรินซ์ พาเลซ มหานาค จัดโดยสำนักยุทธศาสตร์และประเมินผล ทิพย์เดินทางไปถึงเวลาประมาณ 8.10 น. ซึ่งการสัมมนาจะเริ่มเวลา 8.30 น. ก็เลยมีโอกาสเดินดูสินค้าบริเวณใกล้ๆ กับโรงแรม (ตลาดโบ๊เบ๊) สินค้าที่พ่อค้าแม่ค้านำมาจำหน่ายก็คือเสื้อผ้านั่นเองค่ะ แหม ก็ตลาดโบ๊เบ๊น่ะเป็นแหล่งขายส่งเสื้อผ้านี่คะ ก็เลยมีแต่เสื้อผ้าเต็มไปหมด ทิพย์เดินดูเสื้อผ้าได้ซักพัก(ยังไม่เจอที่ถูกใจ) ก็ต้องรีบขึ้นไปห้องสัมมนาแล้วล่ะคะ

เนื้อหาในการสัมมนาก็เป็นเรื่องการจัดทำแผนปฏิบัติราชการประจำปี พ.ศ.2555 แนวทางจัดทำแผนปฏิบัติราชการประจำปี พ.ศ.2555 ของหน่วยงาน คำอธิบายตัวชี้วัดเพื่อประกอบการประเมินผลการปฏิบัติราชการ รวมถึงตัวชี้วัดเชิงยุทธศาสตร์ของสำนักงานเขต ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2554 ค่ะ

และทิพย์ก็มีข้อคิดดีๆ ที่ได้รับจากวิทยากร คือ ดร.พีระพงษ์ ศิริเกษม ซึ่งเป็นข้อคิดดีๆ สำหรับการจัดทำแผนเพื่อไปสู่มหานครน่าอยู่อย่างยั่งยืน ดังนี้ค่ะ

1. ลองปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ในการมองปัญหาในแบบใหม่
2. นำวิธีการบริหารจัดการความรู้ (KM) เข้ามาช่วย
3. ขจัดกำแพงเพื่อเรียนรู้สิ่งใหม่ มองโลกในแง่บวกมากขึ้น
4. มองความลงตัวในภาพรวม แทนที่จะคอยหาที่ผิดในจุดเล็กๆ
5. สร้างและขยายเครือข่ายผู้ทำงานร่วมกัน และสื่อสารกันให้มากขึ้น
6. เน้นการมีส่วนร่วมจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
7. เน้นการกระจายอำนาจ การเสริมพลัง (Empowerment)

ข้อคิดดีๆ เหล่านี้ นอกจากจะนำมาใช้สำหรับการจัดทำแผนแล้ว ทิพย์คิดว่า เรายังสามารถนำมาปรับใช้หรือปรับทัศนคติในการทำงานของเราได้อีกด้วยค่ะ

หลังจากการสัมมนาเสร็จสิ้นลง ทิพย์ก็มีโอกาสได้เก็บภาพบรรยากาศบริเวณล็อบบี้ชั้น 11 ของโรงแรมมาฝากเพื่อนๆ ด้วยค่ะ แต่เสียดายที่ต้องรีบกลับซะแล้ว ไว้ครั้งหน้าถ้ามีโอกาสได้มาสัมมนาที่นี่อีก ทิพย์จะเก็บภาพบรรยากาศด้านนอกของชั้น 11 มาฝากเพื่อนๆ ให้ได้เลยค่ะ

Wednesday, December 8, 2010

สุขหรือทุกข์..หนทางที่เลือกได้

เมื่อประมาณปลายเดือนที่แล้ว (พ.ย.53) จนถึงต้นเดือนนี้ (ธ.ค.53) เป็นช่วงที่ทิพย์กลับบ้านช้ากว่าปกติเกือบทุกวัน เนื่องจากเป็นช่วงเลือกตั้งซ่อม ส.ส. (เลือกตั้งซ่อม ส.ส. ในวันที่ 12 ธ.ค.53) และก็บังเอิญว่าเย็นวันหนึ่ง ทิพย์เดินผ่านชั้นหนังสือประชาสัมพันธ์ของสำนักงานเขต ซึ่งปกติก็เดินผ่านทุกวันแต่วันนี้มันไม่ปกติก็ตรงที่ว่า มีวารสารฉบับหนึ่งหล่นอยู่ที่พื้น คงเพราะถูกลมพัดตกลงมาจากชั้นหนังสือนั่นเอง ทิพย์ก็เลยกะว่าจะเดินไปหยิบขึ้นไปเก็บไว้ที่เดิม แต่พอหยิบขึ้นมาดู แล้วก็พลิกๆอ่านดูเนื้อหาข้างใน ทำให้ทิพย์เปลี่ยนใจนำวารสารฉบับนี้กลับมาอ่านต่อที่บ้านทันที (ลักษณะเป็นกระดาษคล้ายแผ่นพับ 5 ท่อน มีข้อความหน้าหลัง รวมเป็น 10 หน้า สีสันสวยงาม น่าอ่านดีค่ะ และบนชั้นก็มีวารสารแบบนี้อยู่อีกหลายฉบับค่ะ) แต่ทิพย์ไม่ได้หยิบมาเป็นของตัวเองหรอกนะคะ หลังจากที่นำมาถ่ายทอดให้เพื่อนๆ ได้อ่านกันแล้วก็ต้องนำไปคืนไว้ที่เดิมค่ะ เผื่อว่าประชาชนที่มาติดต่อราชการจะได้อ่านกัน

วารสารฉบับนี้ เป็นวารสารของสำนักยุทธศาสตร์และประเมินผล ปีที่ 3 ฉบับที่ 3 เดือนกรกฎาคม-กันยายน 2553 เนื้อหาภายในส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของแผนยุทธศาสตร์ของกรุงเทพมหานครค่ะ แต่ที่ทิพย์จะนำมาถ่ายทอดให้เพื่อนๆ ได้อ่านกัน เป็นส่วนของเกร็ดน่ารู้ ซึ่งเป็นสาระธรรมจากหลวงพ่อชา ที่ให้ข้อคิดในเรื่องการแสวงหาความสุขของมนุษย์และแง่คิดในเรื่องของการใช้ปัญญาในการใคร่ครวญให้หลุดพ้นจากปัญหาหรือความทุกข์อย่างชาญฉลาดค่ะ

เรื่องที่ 1 คนเลี้ยงไก่

มีคนเลี้ยงไก่ 2 คน คนเลี้ยงไก่คนที่ 1 ทุกเช้าจะเอาตะกร้าเข้าไปในโรงเรือนเลี้ยงไก่ แล้วก็เก็บ "ขี้ไก่" ใส่ตะกร้ากลับบ้าน แล้วทิ้งไข่ไก่ให้เน่าไว้ในโรงเรือน เมื่อเขาเอาขี้ไก่กลับถึงบ้าน ทั้งบ้านก็เหม็นหึ่งไปด้วยกลิ่นขี้ไก่ คนทั้งบ้านต้องทนกับกลิ่นเหม็น

คนเลี้ยงไก่คนที่ 2 เอาตะกร้าเข้าไปในโรงเรือนเลี้ยงไก่ เก็บไข่ไก่ใส่ตะกร้าเอากลับบ้าน เขาเอาไข่ไก่ลงเจียว กลิ่นหอมอบอวลไปทั่วบ้าน คนทั้งบ้านได้กินไข่เจียวแสนอร่อย ไข่ไก่ที่เหลือเขาก็เอาไปขาย แล้วได้เงินมาใช้จ่ายในบ้าน ทุกคนในบ้านมีความสุขมาก..

ในชีวิตคนเรา พวกเราเป็นคนเก็บ "ไข่ไก่" หรือ "ขี้ไก่" เราเป็นคนเก็บ "ขี้ไก่" โดยเฝ้าแต่เก็บเรื่องร้ายๆ แย่ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตของเราไว้ในหัวของเรา และมีความทุกข์ตลอดเวลาที่คิดถึงมัน หรือเราเป็นคนที่เก็บ "ไข่ไก่" เราจดจำสิ่งที่ดีๆ ที่เกิดในชีวิตของเรา และมีความสุขทุกครั้งที่คิดถึงมัน คนเราส่วนใหญ่ชอบเป็นคนเก็บ "ขี้ไก่" เราถึงต้องเป็นทุกข์ตลอดเวลา เรื่องความเสียใจ ความผิดพลาด ความเจ็บใจ ฯลฯ มักจะติดอยู่ในใจของเรานานเท่านาน ถ้าเราอยากมีความสุขในชีวิต เลือกเก็บ "ไข่ไก่" กับชีวิต แล้วทิ้ง "ขี้ไก่" ไปเถอะ ชีวิตของเราจะได้มีความสุขซักที..

เรื่องที่ 2 ปรารถนา "ปัญหา" หรือ "ปัญญา"

คำว่า "ปัญหา" กับ "ปัญญา" นั้นมีความใกล้เคียงกันมาก ต่างกันแค่ตัวเดียวคือ "ห" กับ "ญ" ในชีวิตจริง สิ่งที่เรียกว่า "ปัญหา" นั้นก็อยู่ใกล้กับ "ปัญญา" มากเช่นเดียวกัน เมื่อเกิดปัญหาขึ้นมา แทนที่จะคร่ำครวญหรือตีอกชกหัว ลองใคร่ครวญดูให้ดีจะพบว่า ปัญหาเหล่านี้เป็นสัญญาณเตือนให้เราเปลี่ยนแปลงตัวเอง ถ้าเรามองสัญญาณนี้ออก นั่นแสดงว่าปัญญาได้เกิดแก่เราแล้ว ขั้นต่อไปก็คือ เปลี่ยนทัศนคติ พฤติกรรม หรือการใช้ชีวิตให้ถูกต้อง เหมาะสม และชาญฉลาด ไม่ควรมองว่าปัญหาคือ "ทางตัน" ถ้ามองให้ดี ในตัวปัญหานั้นก็มี "ทางออก" ด้วยเหมือนกัน อย่าลืมว่า สลักที่ล็อคประตูนั้นก็เป็นสลักอันเดียวกับที่ใช้เปิดประตู สวิตซ์ที่ปิดไฟก็เป็นอันเดียวกับที่ใช้เปิดไฟให้สว่าง ฉันใดก็ฉันนั้น ในคำถามก็มีคำตอบเฉลยอยู่

จะว่าไปแล้วปัญหาหรือความทุกข์ทั้งหลายไม่ได้มีไว้ให้คร่ำครวญ แต่มีไว้ให้ใคร่ครวญนั่นเอง ในความทุกข์นั้นก็มีทางออกจากความทุกข์แฝงอยู่เสมอ ความทุกข์มีขึ้นก็เพื่อสอนเราให้รู้จักหลุดพ้นจากความทุกข์ ปัญหาเกิดขึ้น ก็เพื่อสอนเราให้เกิดปัญญา ด้วยเหตุนี้ปัญหาจึงไม่ใช่เรื่องน่ากลัว หากคือครูที่มีมาสอนให้เราฉลาดขึ้นนั่นเอง..

ที่ทิพย์นำเอาสาระธรรมทั้งสองเรื่องนี้มาฝากเพื่อนๆ ก็ด้วยความรักและปรารถนาดี อยากให้เพื่อนๆ ทุกคนมีความสุขค่ะ แต่เพื่อนๆจะสุขได้ก็ต้องนำสาระธรรมนี้ไปปฏิบัติให้ได้ด้วยนะคะ ส่วนทิพย์ต้องขอตัวไปทานไข่เจียวหอมๆ ก่อนนะคะ ได้เวลาอาหารเย็นแล้ว ไปทานข้าวไข่เจียวด้วยกันนะคะเพื่อนๆ ^___^


ขอขอบคุณข้อมูลจาก : วารสารสำนักยุทธศาสตร์และประเมินผล ปีที่ 3 ฉบับที่ 3 เดือนกรกฎาคม - กันยายน 2553