ทัวร์อัมพวาครั้งนี้(1ส.ค.52) ไม่ได้มีโปรแกรมทัวร์ไว้เลย ถือว่าโชคดีสุดๆ ต้องขอบพระคุณท่านผู้ช่วยอารีย์เป็นอย่างสูงที่กรุณาให้ติดตามไปด้วยอีกคน อ้อ เกือบลืมต้องขอบคุณพี่แป้น พี่สาวคนสวยด้วยที่กุลีกุจอวิ่งไปขออนุญาตท่านผู้ช่วยให้ทิพย์ได้ไปในทริปนี้
รถนำเที่ยวออกจากกรุงเทพฯ เวลาประมาณบ่าย2โมง ใช้เวลาเดินทางไม่ถึง2ชม. ก็ถึงสมุทรสงคราม รถนำเที่ยวไปแวะที่ค่ายบางกุ้งก่อนเป็นอันดับแรก เคยได้ยินแต่ชื่อ ประวัติก็ไม่เคยรู้จัก(ทั้งๆที่ที่นี่เป็นประวัติศาสตร์ของชาติไทยเราแท้ๆ) พึ่งจะมาค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับค่ายบางกุ้งก็ตอนจะเอามาเล่าให้เพื่อนๆฟังนี่แหละ ไหนๆก็ได้ไปแล้วก็น่าจะรู้ประวัติความเป็นมาซะหน่อย เนื่องจากในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ปี พ.ศ.2308 กองทัพพม่ายกมาตีกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์มีพระราชดำรัสให้สร้างกำแพงล้อมวัดบางกุ้ง (ให้วัดอยู่ตรงกลางเพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจและเป็นที่เคารพบูชาของทหาร) และเรียกว่าค่ายบางกุ้ง เพื่อต้านทัพพม่าที่ยกทัพลงมาตามลำน้ำแม่กลอง แต่ก็ไม่สามารถต้านทานทัพพม่าได้ค่ายจึงแตกกลายเป็นค่ายร้าง หลังจากเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่2 ปี พ.ศ.2310 ภายในปีเดียวกันเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงสถาปนากรุงธนบุรีแล้วจึงโปรดให้ชาวจีนรวบรวมสมัครพรรคพวกมาตั้งกองทหารรักษาค่ายเก่าที่บางกุ้ง จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "ค่ายจีนบางกุ้ง" ในการต่อสู้กับทัพพม่าครั้งที่2 เมื่อปี พ.ศ.2311 ไทยรบชนะพม่าและขับพม่าออกไปได้ ชัยชนะในการรบที่ค่ายบางกุ้งครั้งนี้ มีผลให้ไทยยังคงเป็นชาติเอกราชต่อไป..
แต่ที่ทิพย์สนใจที่สุดเห็นจะเป็น โบสถ์โพธิ์ปรก ซึ่งถูกปกคลุมด้วยรากไม้ขนาดใหญ่ ทั้งต้นโพธิ์ ต้นไทร ต้นไกร และต้นกร่าง มองจากภายนอกยังคิดว่าเป็นกลุ่มต้นไม้ใหญ่ซะอีก ภายในมีพระพุทธรูปประดิษฐาน ชาวบ้านเรียกกันว่า หลวงพ่อนิลมณี หรือหลวงพ่อดำ ไหนๆไปถึงที่แล้วก็ถือโอกาสเข้าไปสักการะหลวงพ่อดำซะหน่อยเพื่อความเป็นสิริมงคล(ไปเที่ยวแล้วยังได้ทำบุญด้วย)..
รถนำเที่ยวออกจากค่ายบางกุ้งและพาเราไปยังร้านอาหารริมทะเลที่ดอนหอยหลอด อาหารที่นี่อร่อยมากกกกกก..วันหลังถ้ามีโอกาสก็อยากจะไปอีกซักครั้ง โดยส่วนตัวแล้วชอบบรรยากาศริมทะเลสุดๆ ยิ่งถ้าได้นั่งกับพื้นหลังจากทานอาหารเสร็จก็เอนหลังหลับซักงีบนึงแล้วค่อยตื่นมาจ่ายค่าอาหารก็คงจะดีไม่น้อย..
หลังจากทานอาหารมื้อค่ำเสร็จรถนำเที่ยวก็พาเราไปยังตลาดน้ำอัมพวา เพื่อล่องเรือชมหิ่งห้อยยามราตรี แต่เดี๋ยวก่อนเนื่องจากว่าทริปนี้ เป็นกลุ่มใหญ่ ก็เลยต้องรอคิวลงเรือ ในระหว่างรอทิพย์ก็ได้โอกาสเดินชมตลาดก่อนรอบนึง มีของขายเยอะมาก และแล้วก็เสียตังค์จนได้ เดินไปเดินมาเจอกางเกงผ้าฝ้ายสีม่วงอ่อนตัวนึงเห็นแล้วน่าจะใส่สบายก็เลยซื้อไว้ใส่ซักตัว ซื้อคนเดียวยังไม่พอใจชวนผู้ช่วยอารีย์ซื้อด้วยอีกตัว (อาทิตย์ถัดมาผู้ช่วยเดินมาบอกว่ากางเกงที่ซื้อมาใส่ได้ครั้งเดียว พอซักแล้วมันหดใส่ไม่ได้อีกเลย ส่วนทิพย์ยังไม่ได้ใส่ไปไหนเลยซักครั้ง เนื่องจากกลัวว่าพอซักแล้วมันจะหด ก็เลยเก็บไว้อย่างนั้น ฮ่าๆๆ)..ได้ของแล้วก็ถึงเวลาลงเรือก็เกือบๆสองทุ่มเห็นจะได้ เรือออกจากท่าแล่นไปตามคลองซึ่งสองฝั่งเต็มไปด้วยห้องพักริมน้ำ โฮมสเตย์ ร้านอาหารเล็กๆ บางที่ก็มีคนมานั่งตกปลาไม่รู้ว่าตกได้มั่งรึเปล่า เรือก็แล่นไปมาขวักไขว่ ปลาไม่น่าจะกินเบ็ดนะ หรือไม่เค้าน่าจะนั่งตกปลาเอาบรรยากาศมั๊ง ช่างเค้าเถอะ..เรือเริ่มแล่นไกลออกไปเรื่อยๆ ความมืดเริ่มคลอบคลุมมาเรื่อยๆ เรือก็ปิดไฟดวงใหญ่และเปิดเพียงหลอดไฟเล็กๆหน้าเรือและหลังเรือแค่ไม่กี่หลอด แค่พอให้เรือลำอื่นสังเกตเห็นได้ พอไปถึงตรงจุดไหนที่มีหิ่งห้อย คนขับเรือก็จะแล่นเรือช้าลง บางที่มีเยอะก็จอดพักแป๊บนึงให้เราได้ชมหิ่งห้อยกันชัดๆ คนขับเรือบอกว่า หิ่งห้อยตัวผู้จะมีแสงกระพริบที่สว่างกว่าหิ่งห้อยตัวเมีย (สงสัยว่าทำไมต้องเป็นตัวผู้ทำไมไม่เป็นตัวเมีย ทีปลั๊กไฟตัวเมียยังมีสวิตซ์ไฟสีแดงเลยแต่ปลั๊กตัวผู้ไม่มีสวิตซ์ไฟสีแดง..เกี่ยวกันมั๊ยเนี่ย..) เรือแล่นผ่านคลองๆนึง มีชื่อน่ากลัว และก็จำได้ติดหูเลย ชื่อคลองผีหลอก สองข้างลำคลองมืดมาก มีต้นจากขึ้นเต็มไปหมด บ้านคนแถวนั้นก็ไม่มี รีสอร์ทก็อยู่ห่างกันมาก น่ากลัวสมชื่อจริงๆ เรื่อแล่นไปเรื่อยๆ ชะลอลงบ้าง จอดบ้าง บรรยากาศก็เย็นสบาย ไปๆมาๆนอนหลับบนเรือซะงั้นน่ะ พี่แป้นก็เหลือเกิน ปลุกอยู่นั่นแหละ จะให้ดูหิ่งห้อย โถ บางที่ทิพย์ว่าที่บ้านทิพย์ยังจะมีเยอะกว่านี้อีกอ่ะพี่แป้น รบกวนเวลานอนจริงๆ พี่แกก็เลยปล่อยให้หลับต่อไป พอเรือใกล้จะถึงท่าแล้วนั่นแหละพี่แป้นก็เลยปลุก (ได้ยินเสียงพี่สุนีรัตน์ตะโกนมาว่าไม่ต้องปลุกปล่อยให้หลับอยู่ในเรือนี่แหละตื่นมาค่อยหาทางกลับเอง..ใจร้ายยยย)..กลับถึงกรุงเทพฯก็ประมาณ5ทุ่ม..
สรุป..ไปทริปนี้นอกจากจะฟรีและได้บรรยากาศดีๆแล้ว ยังได้ทำบุญไหว้พระเพื่อเป็นศิริมงคลแก่ตัวเองด้วย ขอขอบพระคุณท่านผู้ช่วยอารีย์เป็นอย่างสูง ขอบคุณพี่แป้นที่น่ารัก ไปเที่ยวครั้งหน้าก็อย่าลืมชวนน้องทิพย์อีกนะคะ
No comments:
Post a Comment