Tuesday, November 17, 2009

พักผ่อนที่พัทยา 23-25ต.ค.52


ไปครั้งนี้เมื่อวันที่23ต.ค.52 กับพี่ปัท พี่ชาติ(แฟนพี่ปัท) และน้องกิ๊ฟ(ลูกสาวพี่ปัท) รวมๆก็ไปกัน4คน ทีแรกก็ยังไม่แน่ใจว่าจะไปรึไม่ไปดี สุดท้ายก็ตัดสินใจส่งข้อความบอกพี่ปัทเอาวันไปนั่นแหละ..ออกจากกรุงเทพฯประมาณ11โมง แวะซื้อข้าวหลามที่หนองมน ถึงพัทยาประมาณบ่าย3โมง แวะซื้ออาหารก่อนเข้าที่พัก ครั้งนี้เราพักกันที่ Botany Beach & Resort ไปถึงห้องพักทิพย์ก็รีบจัดแจงเปลี่ยนเสื้อผ้าลงสระว่ายน้ำทันที ด้วยความที่เป็นคนชอบเล่นน้ำมากก็ลงแช่น้ำอยู่นั่นน่ะเป็นชั่วโมงๆ แขกที่มาพักส่วนมากเป็นต่างชาติ (ชาวรัสเซียเป็นส่วนใหญ่) คนไทยเห็นมีไม่กี่รายเอง มื้อค่ำพี่ปัทพาออกไปทานข้างนอก ชื่อร้านจำไม่ได้แล้วแต่อาหารที่นี่อร่อยมาก และที่สำคัญที่ทิพย์จะไม่มีวันลืมเลย คือ รอนานมากกกกกกกกกกก..รอสี่คิวปาไปเกือบชั่วโมง พี่ปัทบอกว่าร้านนี้อาหารอร่อย และต้องรอนาน ใครที่ไม่เคยเข้าร้านนี้ ถ้ามาครั้งแรกจะหงุดหงิด (ดีนะที่เรารู้แล้ว แต่ก็หงุดหงิดอยู่ดี เพราะหิว555+)
เช้าวันที่24 ตื่นเช้าก็ออกไปเดินดูบรรยากาศของชายหาดยามเช้า ที่นี่เงียบสงบจริงๆ ผู้คนก็ไม่พลุกพล่าน (สงสัยฝรั่งจะเที่ยวตอนกลางคืนแล้วตื่นสายกันมั๊ง คิดเอาเองนะคะ) มีชาวต่างชาติมาว่ายน้ำสองสามคน พอเดินเลยสระว่ายน้ำออกไปก็เป็นชายหาด ถ้าหันหน้าไปที่ทะเล ซ้ายมือจะเป็นท่าเรือยื่นออกไปกลางทะเล มีเรือจอดอยู่ไกลๆ ด้านขวามือจะโล่ง มองเห็นแนวหาดทรายโค้งยาวไปไกลสุดลูกหูลูกตา เดินเล่นได้ซักพักพี่ปัทก็โทรตามให้ไปทานอาหารเช้า มื้อเช้าของเช้าวันแรกเป็นบุฟเฟต์ของทางโรงแรม ทานเสร็จก็พักผ่อนกันตามอัธยาศัย ส่วนทิพย์ก็นั่งเล่นเน็ตทั้งวัน ดูทีวีมั่ง หลับมั่ง เรียกว่าพักผ่อนเต็มที่เลย ห้องพักเป็นห้องสุดท้ายติดกับสระว่ายน้ำ เวลาเปิดผ้าม่านออกจะมองเห็นวิวด้านนอกสวยงามมาก มีต้นไม้ ดอกไม้ สระน้ำ บรรยากาศสดชื่นสุดๆ บ่ายๆ ก็ไปนั่งเล่นกันที่ชายหาดสั่งส้มตำปูม้ามานั่งกินกัน เย็นๆก็ลงสระว่ายน้ำเล่นกันอีก ครั้งนี้ทิพย์ได้เพื่อนใหม่เป็นชาวรัสเซียด้วยนะ ชื่อ เอลิซ่า เอลิซ่าเป็นหมอ เค้าบอกว่าเค้าได้หยุดพักผ่อนตั้งเดือนนึงแน่ะ มาเที่ยวเมืองไทยอาทิตย์นึง พึ่งจะมาถึงพัทยาวันนี้และก็จะกลับมอสโคอาทิตย์หน้า เห็นมั๊ยว่ามิตรภาพเกิดขึ้นได้ทุกที่จริงๆ อิอิ เล่นน้ำอยู่นานจนรู้สึกว่าแสบหน้ามากก็เลยขึ้นไปอาบน้ำ (เพื่อนๆเชื่อมั๊ยคะว่าหน้าทิพย์แดงไปทั้งหน้าเลย พอตื่นเช้ามาหน้าเริ่มลอก เป็นขุยๆอ่ะ สงสัยว่าหน้าทิพย์จะแห้งมากแน่ๆเลย)..
เช้าวันที่25 ก็ตื่นแต่เช้าเหมือนเคย หลังจากทานอาหารเช้าเป็นบุฟเฟต์ของทางโรงแรมเสร็จ ก็ออกไปเดินเล่นชายหาดอีกครั้ง ครั้งนี้เดินไปไกลกว่าเดิม พอสายๆจะมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติลงมาเล่นน้ำมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งสายแดดก็ยิ่งแรงขึ้นแรงขึ้น เดินต่อไปไม่ไหวเพราะมันร้อนมาก ก็เลยกลับเข้าห้องพักเก็บกระเป๋าเตรียมเดินทางกลับกรุงเทพฯ (ยังไม่อยากกลัยเลยอ่ะ อยากพักต่ออีกซักเดือนนึง55)..ออกจากพัทยาประมาณบ่าย2โมง แวะซื้อขนมติดไม้ติดมือมาฝากเพื่อนๆที่ทำงาน และก็แวะพักกันอีกทีที่ทะเลเมืองชลบุรี จากนั้นก็เดินทางกันต่อ ถึงกรุงเทพประมาณ6โมงครึ่ง..
สรุป ไปพัทยาครั้งนี้เรียกได้ว่า ไปพักผ่อนจริงๆ ไม่อยากกลับเลย ขอขอบคุณพี่ปัทกับพี่ชาติมากๆนะคะที่กรุณาพาน้องทิพย์ไปด้วย ครั้งหน้าถ้าไปเขาหลัก หรือขึ้นเหนือ ก็อย่าลืมชวนน้องอีกนะคะ อิอิอิ

Tuesday, September 22, 2009

ล่องแพกาญจนบุรี


ไปล่องแพที่กาญจนบุรีครั้งนี้ไปกับพี่ๆเพื่อนๆและน้องๆ ฝ่ายเทศกิจ เห็นพี่ๆเค้าบอกว่าเป็นงานเลี้ยงส่งเนาะที่สอบติดตำรวจ..ออกเดินทางจาก กทม. ตอนเที่ยงของวันที่19ก.ย.52 ไปถึงกาญจนบุรีประมาณบ่าย3ก็แวะซื้อข้าวของตุนไปกินกันที่แพ แต่ในระหว่างเดินทางก็มีเรื่องที่น่ายินดีอีกเรื่องคือ น้องยอดได้ถูกเรียกให้ไปรายงานตัวตำแหน่งเจ้าพนักงานป้องกันฯ3แล้ว ก็ดีใจกันไปอ่ะนะ ลงแพประมาณบ่าย4โมง ก็ลงมือทำอาหารกันเองเนื่องจากว่างานนี้ไม่ได้จ้างแม่ครัว พวกพี่ๆเทศกิจเค้าพาแม่บ้านมากันก็เลยทำกันเองดีกว่า พี่เค้าว่างั้นนะ..หลังจากเสร็จจากเรื่องในครัวก็เป็นเวลาส่วนตัวของเราแล้ว ได้ปลีกตัวออกมานั่งชมบรรยากาศสวยๆงามๆสองฝั่งแม่น้ำแควยามเย็น มองเห็นต้นไม้ทั้งสองฝั่งน้ำ เห็นภูเขาอยู่ไกลๆ กับแสงสีทองของดวงตะวันยามใกล้จะลับขอบฟ้า สวยงามจริงๆ นี่เป็นช่วงที่ทิพย์พยายามเก็บภาพความประทับใจไว้ในความทรงจำให้ได้มากที่สุด แพที่ล่องเป็นแพเธค พวกพี่ๆเค้าก็เปิดเพลงกัน ถึงจะเสียงดังไปซักหน่อยแต่ก็ได้บรรยากาศไปอีกแบบ ไม่เหงาดี ปกติก็อยู่กับความเงียบมามากแล้ว ได้มาเที่ยวทั้งทีก็ต้องปลดปล่อยกันหน่อย แพล่องไปได้ซักประมาณเกือบชั่วโมงได้มั้ง ก็จอดที่ท่าน้ำ ซึ่งข้างบนจะมีห้องน้ำไว้บริการ พอแพจอดได้ซักพัก พี่ตินก็ชวนเล่นน้ำ มองไปเห็นน้องนำกะเก่งโดดลงไปเล่นก่อนเราแล้ว เออ มีพวกแล้ว ไม่น่ากลัวแล้วงานนี้ 55 ทีแรกตั้งใจไว้ว่าจะไม่ลง กลัวปลิง น้องปูก็มาชวนว่าจะเล่นรึป่าว จะเล่นเป็นเพื่อน(แต่พอทิพย์ลงน้องปูกลับไม่ลงซะงั้น) ก็สองจิตสองใจยังกลัวๆกล้าๆ ความจริงเป็นคนที่ชอบเล่นน้ำมาก เห็นเป็นไม่ได้ ต้องโดดลงไปดำผุดดำว่ายแล้วล่ะ แต่งานนี้กลัวปลิงจริงๆ สุดท้ายคุณเนาะ กะคุณพี่ตินค่ะ มาช่วยกันผลักลงน้ำคงจะรำคาญท่าทางของเรากันน่ะ เล่นซะสำลักน้ำกันไปเลย น้ำก็ลึกมาก ทีแรกก็กลัวเหมือนกัน พอได้ลงแล้วทีนี้ไม่อยากจะขึ้น เล่นซะสะใจกันไปเลย หินบาดนิ้วเท้าได้แผลกลับมาด้วยอีกตะหาก เฮ้อ ตกกลางคืนพวกพี่ๆน้องๆเค้าก็ร้องคาราโอเกะกัน(เตรียมไปเองเพราะแพเค้าไม่มีให้) ก็สนุกสนานเฮฮากันไป บางคนก็ไปนั่งตกปลา ก็แล้วแต่ว่าใครจะชอบอะไร หลังจากที่ร้องคาราโอเกะกันจนพอใจ ดีเจก็เปิดเพลงแดนซ์กระจาย ทุกคนดูเป็นกันเองมากทิพย์ก็พลอยสนุกกะเค้าไปด้วย ประมาณ5ทุ่มก็เลยแยกตัวขึ้นไปนอน แต่ที่ไหนได้นอนไม่หลับเพราะเสียงเพลงดังมาก ทั้งจากแพเราเองและแพข้างๆอีกหลายแพ เล่นเปิดเพลงแข่งกันจนฟังไม่รู้ว่าเป็นเพลงอะไร นอนรอจนเธคปิดตอนเที่ยงคืน คิดว่าคงได้หลับกันซะที แต่..ก็ไม่หลับเพราะพี่คนนึงเค้านอนกรนดังมากกกกกก..(สงสารเค้าเลยอ่ะ เหมือนพี่เค้าจะหายใจไม่ออก) ปาไปตี2ครึ่งก็ยังไม่หลับ ก็เลยเปลี่ยนมานอนข้างล่าง ทำท่าว่าจะหลับได้ ซักพักก็เสียงเรือดัง เสียงนู่นเสียงนี่ สรุปคือ คืนนี้แทบไม่ได้นอน หลับๆตื่นๆ พอเช้าแพก็ล่องกลับตอนแปดโมง กะว่าจะได้หลับก็ช่วงนี้ล่ะเรา ก็เลยปลีกตัวไปหาที่นอนข้างบน ซักพักน้องปูก็เดินมาชวนให้ไปเล่นข้างล่าง และแล้วก็ไม่ได้หลับอีกตามเคย ไปสนุกแดนซ์กระจายกันจนถึงที่หมายนั่นแหละ ขึ้นจากแพประมาณเที่ยงถึงกทม.ประมาณบ่ายสามโมง
สรุป ไปล่องแพครั้งนี้ที่ประทับใจคือ บรรยากาศของริมแม่น้ำตอนตะวันตกดิน สวยงามมาก และอีกอย่างคือประทับใจความเป็นกันเองของพี่ๆน้องๆทุกคน จริงๆแล้วทิพย์ไม่ค่อยได้เล่นสนุกอย่างนี้บ่อยๆนะ คือ ถ้าไม่สนิทจนกล้าเปิดใจนี่ก็ไม่เล่นเลย ไม่รู้ว่าพอพี่ๆน้องๆได้เห็นตัวตนอีกด้านของทิพย์นี่จะรับได้กันรึเปล่า ฮ่าๆๆ..เอาเป็นว่าถ้าครั้งนี้การกระทำหรือคำพูดของทิพย์ทำให้พี่ๆน้องๆไม่พอใจต้องขอโทษด้วยนะคะ ต้องขอขอบคุณพี่กุ้งกับพี่โอที่ชวนน้องทิพย์ไปในทริปนี้..เหตุการณ์ทุกอย่าง ความประทับใจที่ได้พบ จะยังคงอยู่ในความทรงจำตลอดไป..

Friday, September 4, 2009

ตลาดน้ำดอนหวาย


ไปเที่ยวตลาดน้ำดอนหวายเมื่อวันอาทิตย์ที่30ส.ค.52 ต้องบอกก่อนว่าไปครั้งนี้ ไปกับเพื่อนเก่าเพื่อนแก่..เอ๊ย ไม่ใช่ แค่เพื่อนเก่าก็พอ ส่วนแก่น่ะเป็นคำไม่สุภาพสำหรับผู้หญิงเค้าห้ามพูดกัน ใครพูดโกรธกันเป็นชาติ ฮ่าๆๆ..เพื่อนเป้าเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยเรียนปวช.(อายุ15นู่นเลย) เคยอยู่หอพักหญิงด้วยกัน กิน นอน เรียน เที่ยว อยู่ในกลุ่มเพื่อนซี้ปึ้กกันเลยทีเดียว ก็ห่างหายกันไปนานตั้งแต่เรียนจบปวช. ต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันไปเรียน ไปทำงาน พอโทรติดต่อกันได้นัดเจอกัน เป็นธรรมดาไม่ได้เจอกันนานๆ ดีใจสุดๆ ให้นั่งคุยกันได้เป็นหลายๆชั่วโมงก็ไม่เบื่อ ยิ่งถ้าได้พูดถึงวันเวลาเก่าๆนี่ ไม่ต้องมีคำบรรยาย เหมือนกลับไป15อีกครั้ง อิอิ..
นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ไปตลาดน้ำดอนหวาย คือ ต่างคนก็ต่างไม่เคยไป(ไปกัน3คน) รู้แค่ว่ามันอยู่ทางไปนครปฐม คนขับรถ(แฟนเพื่อน)ก็ไม่เคยไป บอกว่าเคยผ่าน..แต่นานแล้ว..เอาล่ะสิงานนี้ แต่ในที่สุดก็ไปถูกแฮะ (ไปไม่ถูกได้งัย มีป้ายบอกทางออกชัดเจนซะขนาดนั้น) ไปถึงก็เกือบๆบ่ายโมง หิวสุดๆ ข้าวเช้าข้าวเที่ยงก็ยังไม่ได้กิน ก็เลยพากันไปแวะกินข้าวที่แพริมน้ำ อาหารรสชาติถูกปาก อร่อยมากมาย(หรือว่าเพราะหิวจัดก็ไม่รู้) ถ้าเพื่อนๆว่างๆ ก็ลองไปชิมกันเอาเอง แต่ทิพย์ว่าอาหารเค้าอร่อยจริงๆนะ พอกินเสร็จตาก็พลันเหลือบไปเห็นเรือลำนึง น่าจะเป็นเรือที่เค้าพาล่องแม่น้ำท่าจีน หันกลับมามองหน้ากัน แล้วก็พูดว่า ทำไมเราไม่ไปนั่งกินอาหารบนเรือกันล่ะเนี่ย ซักพักได้ยินเสียงประกาศว่า ใครที่ต้องการนั่งเรือทานอาหารชมบรรยากาศของแม่น้ำท่าจีนให้ไปซื้อตั๋วได้ที่ที่จำหน่ายตั๋ว เรือล่องไปกลับใช้เวลาชั่วโมงสิบห้านาที ราคาคนละเท่าไหร่จำไม่ได้ละ คิดว่าเค้าคงจะประกาศอยู่เรื่อยๆล่ะ แต่เราคงหิวจัดไม่ได้ฟัง รีบหาที่นั่งแล้วก็สั่งๆๆๆๆ แล้วก็ก้มหน้าก้มตากินๆๆๆๆ พออิ่มถึงรู้ว่าเค้ามีล่องเรือด้วย ก็เลยได้แต่เสียดาย..กินเสร็จก็พากันเดินชมตลาด ตลาดมีลักษณะตัวอาคารเป็นไม้เก่าๆ ค้นดูประวัติเค้าบอกว่าน่าจะสร้างตั้งแต่สมัยรัชกาลที่6นู่นแน่ะ ในตลาดคนเยอะมากกกกก..คงเพราะเป็นวันอาทิตย์นักท่องเที่ยวนักชิมมากันเพียบ เดินเบียดเสียดกันเลย ในตลาดมีของขายเยอะมาก น่ากินทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นขนมหวาน ผัก ผลไม้สดๆจากสวน โดยเฉพาะมะพร้าวน้ำหอมสดๆ ดื่มแล้วชื่นใจ ช่วยบรรเทาความเหนื่อยล้าจากการเดินชมตลาดได้ดีทีเดียวค่ะ เคยรู้มาว่าถ้าไปตลาดน้ำดอนหวาย หลายคนมักจะไปซื้อเป็ดพะโล้ หรือไม่ก็ขนมหวาน และห่อหมกปลาช่อน เพราะทั้งสามอย่างนี้เป็นอาหารขึ้นชื่อของตลาดดอนหวาย (แต่ทำไมเราไม่ได้ซื้ออาหารขึ้นชื่อพวกนี้เลยแฮะ) เดินไปเรื่อยๆ ก็พบกับแหนมเนือง อยากกินค่ะ ก็เลยซื้อมา2ถุงฝากเพื่อนๆที่ทำงานด้วย เดินชมตลาดจนพอใจขากลับก็แวะซื้อกล้วยไม้มาเลี้ยงที่ห้องอีก3ต้น กลับถึงห้องก็4โมงครึ่ง
สรุป ไปตลาดน้ำดอนหวายครั้งนี้ ที่ประทับใจก็น่าจะเป็นรสชาติอาหารที่ถูกปากนั่นแหละ นึกเสียดายที่ไม่ได้ล่องเรือชมบรรยากาศแม่น้ำท่าจีน ครั้งหน้าถ้ามีโอกาสได้ไปอีกรับรองไม่พลาดแน่ๆ

Friday, August 21, 2009

ทัวร์อัมพวา ไหว้หลวงพ่อนิลมณี ทานอาหารเย็นที่ดอนหอยหลอด ล่องเรือชมหิ่งห้อยยามราตรี

ทัวร์อัมพวาครั้งนี้(1ส.ค.52) ไม่ได้มีโปรแกรมทัวร์ไว้เลย ถือว่าโชคดีสุดๆ ต้องขอบพระคุณท่านผู้ช่วยอารีย์เป็นอย่างสูงที่กรุณาให้ติดตามไปด้วยอีกคน อ้อ เกือบลืมต้องขอบคุณพี่แป้น พี่สาวคนสวยด้วยที่กุลีกุจอวิ่งไปขออนุญาตท่านผู้ช่วยให้ทิพย์ได้ไปในทริปนี้
รถนำเที่ยวออกจากกรุงเทพฯ เวลาประมาณบ่าย2โมง ใช้เวลาเดินทางไม่ถึง2ชม. ก็ถึงสมุทรสงคราม รถนำเที่ยวไปแวะที่ค่ายบางกุ้งก่อนเป็นอันดับแรก เคยได้ยินแต่ชื่อ ประวัติก็ไม่เคยรู้จัก(ทั้งๆที่ที่นี่เป็นประวัติศาสตร์ของชาติไทยเราแท้ๆ) พึ่งจะมาค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับค่ายบางกุ้งก็ตอนจะเอามาเล่าให้เพื่อนๆฟังนี่แหละ ไหนๆก็ได้ไปแล้วก็น่าจะรู้ประวัติความเป็นมาซะหน่อย เนื่องจากในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ปี พ.ศ.2308 กองทัพพม่ายกมาตีกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์มีพระราชดำรัสให้สร้างกำแพงล้อมวัดบางกุ้ง (ให้วัดอยู่ตรงกลางเพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจและเป็นที่เคารพบูชาของทหาร) และเรียกว่าค่ายบางกุ้ง เพื่อต้านทัพพม่าที่ยกทัพลงมาตามลำน้ำแม่กลอง แต่ก็ไม่สามารถต้านทานทัพพม่าได้ค่ายจึงแตกกลายเป็นค่ายร้าง หลังจากเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่2 ปี พ.ศ.2310 ภายในปีเดียวกันเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงสถาปนากรุงธนบุรีแล้วจึงโปรดให้ชาวจีนรวบรวมสมัครพรรคพวกมาตั้งกองทหารรักษาค่ายเก่าที่บางกุ้ง จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "ค่ายจีนบางกุ้ง" ในการต่อสู้กับทัพพม่าครั้งที่2 เมื่อปี พ.ศ.2311 ไทยรบชนะพม่าและขับพม่าออกไปได้ ชัยชนะในการรบที่ค่ายบางกุ้งครั้งนี้ มีผลให้ไทยยังคงเป็นชาติเอกราชต่อไป..
แต่ที่ทิพย์สนใจที่สุดเห็นจะเป็น โบสถ์โพธิ์ปรก ซึ่งถูกปกคลุมด้วยรากไม้ขนาดใหญ่ ทั้งต้นโพธิ์ ต้นไทร ต้นไกร และต้นกร่าง มองจากภายนอกยังคิดว่าเป็นกลุ่มต้นไม้ใหญ่ซะอีก ภายในมีพระพุทธรูปประดิษฐาน ชาวบ้านเรียกกันว่า หลวงพ่อนิลมณี หรือหลวงพ่อดำ ไหนๆไปถึงที่แล้วก็ถือโอกาสเข้าไปสักการะหลวงพ่อดำซะหน่อยเพื่อความเป็นสิริมงคล(ไปเที่ยวแล้วยังได้ทำบุญด้วย)..
รถนำเที่ยวออกจากค่ายบางกุ้งและพาเราไปยังร้านอาหารริมทะเลที่ดอนหอยหลอด อาหารที่นี่อร่อยมากกกกกก..วันหลังถ้ามีโอกาสก็อยากจะไปอีกซักครั้ง โดยส่วนตัวแล้วชอบบรรยากาศริมทะเลสุดๆ ยิ่งถ้าได้นั่งกับพื้นหลังจากทานอาหารเสร็จก็เอนหลังหลับซักงีบนึงแล้วค่อยตื่นมาจ่ายค่าอาหารก็คงจะดีไม่น้อย..
หลังจากทานอาหารมื้อค่ำเสร็จรถนำเที่ยวก็พาเราไปยังตลาดน้ำอัมพวา เพื่อล่องเรือชมหิ่งห้อยยามราตรี แต่เดี๋ยวก่อนเนื่องจากว่าทริปนี้ เป็นกลุ่มใหญ่ ก็เลยต้องรอคิวลงเรือ ในระหว่างรอทิพย์ก็ได้โอกาสเดินชมตลาดก่อนรอบนึง มีของขายเยอะมาก และแล้วก็เสียตังค์จนได้ เดินไปเดินมาเจอกางเกงผ้าฝ้ายสีม่วงอ่อนตัวนึงเห็นแล้วน่าจะใส่สบายก็เลยซื้อไว้ใส่ซักตัว ซื้อคนเดียวยังไม่พอใจชวนผู้ช่วยอารีย์ซื้อด้วยอีกตัว (อาทิตย์ถัดมาผู้ช่วยเดินมาบอกว่ากางเกงที่ซื้อมาใส่ได้ครั้งเดียว พอซักแล้วมันหดใส่ไม่ได้อีกเลย ส่วนทิพย์ยังไม่ได้ใส่ไปไหนเลยซักครั้ง เนื่องจากกลัวว่าพอซักแล้วมันจะหด ก็เลยเก็บไว้อย่างนั้น ฮ่าๆๆ)..ได้ของแล้วก็ถึงเวลาลงเรือก็เกือบๆสองทุ่มเห็นจะได้ เรือออกจากท่าแล่นไปตามคลองซึ่งสองฝั่งเต็มไปด้วยห้องพักริมน้ำ โฮมสเตย์ ร้านอาหารเล็กๆ บางที่ก็มีคนมานั่งตกปลาไม่รู้ว่าตกได้มั่งรึเปล่า เรือก็แล่นไปมาขวักไขว่ ปลาไม่น่าจะกินเบ็ดนะ หรือไม่เค้าน่าจะนั่งตกปลาเอาบรรยากาศมั๊ง ช่างเค้าเถอะ..เรือเริ่มแล่นไกลออกไปเรื่อยๆ ความมืดเริ่มคลอบคลุมมาเรื่อยๆ เรือก็ปิดไฟดวงใหญ่และเปิดเพียงหลอดไฟเล็กๆหน้าเรือและหลังเรือแค่ไม่กี่หลอด แค่พอให้เรือลำอื่นสังเกตเห็นได้ พอไปถึงตรงจุดไหนที่มีหิ่งห้อย คนขับเรือก็จะแล่นเรือช้าลง บางที่มีเยอะก็จอดพักแป๊บนึงให้เราได้ชมหิ่งห้อยกันชัดๆ คนขับเรือบอกว่า หิ่งห้อยตัวผู้จะมีแสงกระพริบที่สว่างกว่าหิ่งห้อยตัวเมีย (สงสัยว่าทำไมต้องเป็นตัวผู้ทำไมไม่เป็นตัวเมีย ทีปลั๊กไฟตัวเมียยังมีสวิตซ์ไฟสีแดงเลยแต่ปลั๊กตัวผู้ไม่มีสวิตซ์ไฟสีแดง..เกี่ยวกันมั๊ยเนี่ย..) เรือแล่นผ่านคลองๆนึง มีชื่อน่ากลัว และก็จำได้ติดหูเลย ชื่อคลองผีหลอก สองข้างลำคลองมืดมาก มีต้นจากขึ้นเต็มไปหมด บ้านคนแถวนั้นก็ไม่มี รีสอร์ทก็อยู่ห่างกันมาก น่ากลัวสมชื่อจริงๆ เรื่อแล่นไปเรื่อยๆ ชะลอลงบ้าง จอดบ้าง บรรยากาศก็เย็นสบาย ไปๆมาๆนอนหลับบนเรือซะงั้นน่ะ พี่แป้นก็เหลือเกิน ปลุกอยู่นั่นแหละ จะให้ดูหิ่งห้อย โถ บางที่ทิพย์ว่าที่บ้านทิพย์ยังจะมีเยอะกว่านี้อีกอ่ะพี่แป้น รบกวนเวลานอนจริงๆ พี่แกก็เลยปล่อยให้หลับต่อไป พอเรือใกล้จะถึงท่าแล้วนั่นแหละพี่แป้นก็เลยปลุก (ได้ยินเสียงพี่สุนีรัตน์ตะโกนมาว่าไม่ต้องปลุกปล่อยให้หลับอยู่ในเรือนี่แหละตื่นมาค่อยหาทางกลับเอง..ใจร้ายยยย)..กลับถึงกรุงเทพฯก็ประมาณ5ทุ่ม..
สรุป..ไปทริปนี้นอกจากจะฟรีและได้บรรยากาศดีๆแล้ว ยังได้ทำบุญไหว้พระเพื่อเป็นศิริมงคลแก่ตัวเองด้วย ขอขอบพระคุณท่านผู้ช่วยอารีย์เป็นอย่างสูง ขอบคุณพี่แป้นที่น่ารัก ไปเที่ยวครั้งหน้าก็อย่าลืมชวนน้องทิพย์อีกนะคะ

Thursday, July 16, 2009

น้ำตกไทรโยคน้อย..กาญจนบุรี..อีกครั้งกับรถไฟนำเที่ยว

ต้องบอกก่อนว่าไปเที่ยวมาตั้งแต่วันที่11พ.ค.52แล้ว ช่วงนี้งานมันช่างยุ่งซะจริงๆเลยแต่ก็ยังพยายามแบ่งเวลามาเขียนไดอารี่ไว้ให้เพื่อนๆได้อ่านเล่น ไปน้ำตกไทรโยคน้อย (NAM TOK SAI YOK NOI) ครั้งนี้ไปกับเพื่อนๆที่ทำงานด้วยกัน รถไฟออกจากหัวลำโพงตั้งแต่เช้า(6.30น.) วันนี้บรรยากาศดีมาก สดชื่น เย็นสบาย สายๆหน่อยก็ไม่มีแดดเลย บรรยากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝน เหมาะกับการนั่งรถไฟมากเพราะมันไม่ร้อน (ไม่เหมือนเมื่อครั้งที่แล้วที่ไปสวนสนฯ ครั้งนั้นร้อนสุดๆ) ก็นั่งชมวิวทิวทัศน์ไปเรื่อยๆ ตามสไตล์คนชอบบรรยากาศแบบชนบท มองไปทางไหนก็เห็นแต่ต้นไม้ใบหญ้าเขียวชอุ่ม สดชื่นจริงๆเล้ย..
ระหว่างทางจะมีลุงคนนึงซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ประจำตู้รถไฟขบวนนี้มาเล่าเหตุการณ์ประวัติศาสตร์เกี่ยวกับทางรถไฟสายมรณะที่เรากำลังเดินทางกันอยู่เนี่ยแหละ คุณลุงเล่าไปเล่ามาก็มีคำถามมาให้พวกเราเล่นสนุกกัน ถ้าใครตอบถูกคุณลุงจะให้รางวัลสมนาคุณ เป็นที่คั่นหนังสือที่ระลึก คำถามแรก คุณลุงถามว่า ในการสร้างทางรถไฟสายมรณะครั้งนั้นมีทหารหลายชาติที่ถูกเกณฑ์มาใช้แรงงานเพื่อสร้างทางรถไฟ แต่มีประเทศเพื่อนบ้านของเราประเทศนึงที่ไม่ถูกเกณฑ์มาในครั้งนี้ คือประเทศอะไร เงียบ ไม่มีใครตอบ ทิพย์ก็เลยตอบแบบเดาๆไปว่าเขมร(กัมพูชา) ปรากฏว่า ถูกต้องนะคร้าบบบบบ คุณลุงแกก็เลยเดินเอาของรางวัลมาให้ พร้อมกับอธิบายประวัติอีกยาวเหยียด ทิพย์ก็นั่งมองๆ ที่คั่นหนังสือก็พบว่ามีชื่อ-สกุลพร้อมเบอร์โทรศัพท์มือถือของคุณลุงด้วย และแล้วก็มองคุณลุงตาละห้อย พร้อมกับตะโกนบอกคุณลุงว่า คุณลุงคะ ขอเปลี่ยนเป็นตั๋วรถไฟนำเที่ยวครั้งหน้าซัก5ใบได้มั๊ยคะ คุณลุงหัวเราะพร้อมกับตอบกลับมาว่า ก็นั่นไงเบอร์โทรลุงถ้าอยากนั่งรถไฟนำเที่ยวฟรีก็บอก ลุงจะให้นั่งข้างหน้านู่นกะลุงน่ะ ฮากระจายค่ะเพื่อนๆ คนทั้งตู้นั่นแหละ ขำกันใหญ่เลย จากนั้นคุณลุงก็ตั้งอกตั้งใจเล่าประวัติเกี่ยวกับทางรถไฟสายมรณะต่อไป พร้อมกับคำถามอีกหลายคำถาม พอทิพย์จะตอบคุณลุงก็บอกว่า หนูไม่ต้องตอบแล้วน๊าหนูรู้ประวัติหมดแล้วก็ตอบได้หมด อ้าว ทำไมละคะคุณลุงครั้งที่แล้วหนูเดาถูกนะคะ ไม่ได้มีความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ชาติไทยนักหรอกค่ะลุง อ้อนวอนขอแกตอบ อยากตอบค่ะเพื่อนๆ คุณลุงแกก็ไม่ยอม เราเองเลยต้องยอมนั่งฟังคุณลุงแกเล่าต่อไป คุณลุงเป็นคนอารมณ์ดีมาก เป็นไกด์นำเที่ยวที่เยี่ยมยอดคนนึงเลยทีเดียวค่ะ แต่น่าเสียดายที่ทิพย์หาที่คั่นหนังสือใบนั้นไม่เจอ ก็เนื่องมาจากว่าเป็นคนชอบอ่านหนังสือนี่แหละค่ะ พอเอาไปใช้คั่นหนังสือจริงๆ ก็เลยหาไม่เจอว่ามันอยู่เล่มไหน ไว้หาเจอเมื่อไหร่จะเอาชื่อพร้อมเบอร์โทรมาบอกเพื่อนๆละกันนะคะ คนอัธยาศัยดีบริการดีแบบนี้น่ายกย่องชมเชยค่ะ..
พอรถไฟถึงสะพานข้ามแม่น้ำแคว ก็หยุดให้พวกเราได้ลงไปถ่ายรูปและเลือกซื้อของที่ระลึกกันประมาณ30นาที ก็ไปต่อพอถึงทางรถไฟที่อยู่ติดๆกะภูเขาส่วนอีกด้านจะเป็นแม่น้ำแคว ตรงนี้หวาดเสียวมากดูในรูปละกันค่ะ แต่อาจไม่ได้อารมณ์หวาดเสียวซะเท่าไหร่ต้องไปนั่งรถไฟเองค่ะ พอถึงก็ก้มหน้ามองลงไปข้างล่างแล้วน่ากลัวสุดๆ ต้องลองไปนั่งรถไฟชมกันเองค่ะเพื่อนๆ..
รถไฟไปถึงน้ำตกไทรโยคน้อยก็เที่ยงพอดี ได้นั่งกินข้าวกันข้างๆน้ำตกนั่นแหละ ไปวันนั้นน้ำตกไม่ค่อยจะมีซักเท่าไหร่เพราะยังไม่ถึงหน้าฝน แต่ทิพย์ล่ะก่อนเพื่อนเลย วิ่งลงน้ำตกเป็นคนแรก น้ำไม่เยอะก็ไม่สนล่ะ มาถึงที่แล้วก็ต้องเล่นให้สะใจไปเลย ถึงเวลากลับก็ไม่อยากจะเลิกเล่นด้วยซ้ำไป แต่เป็นธรรมดางานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา มาเที่ยวก็ต้องถึงเวลากลับ บอกตัวเองว่าครั้งหน้าถ้ามา จะมาช่วงที่น้ำเยอะๆ คงจะเล่นน้ำได้สนุกกว่านี้แน่ๆ กลับมาถึงบ้านก็สามทุ่ม ทันได้ดูสิงห์โต เดอะสตาร์รอบสุดท้ายก่อนประกาศผลว่าใครจะได้เป็นเดอะสตาร์พอดี๊พอดีเลย..
สรุป ไปเที่ยวน้ำตกไทรโยคน้อยครั้งนี้สนุกสุดๆ ถึงจะหกล้มข้อศอกถลอก หัวปูด จะกระโดดน้ำโดนโขดหินข้างล่างจนส้นเท้าห้อเลือดก็ยังยืนยันว่าสนุกและคุ้มสุดๆ กับค่าตั๋วรถไฟเพียง100บาท แม้เพื่อนๆจะบ่นๆกันว่าน้ำน้อยไปหน่อย แต่สำหรับทิพย์แล้ว จะน้ำมากหรือน้ำน้อยไม่สำคัญ ขอให้มีน้ำให้ทิพย์กระโดดเล่น และบรรยากาศป่าเขาลำเนาไพร ห่างไกลจากความวุ่นวายนี่ก็ดีที่สุดแล้ว

Friday, June 12, 2009

ไปเที่ยวสวนสนประดิพัทธิ์ (suansonpradiphat)


ต้องบอกเพื่อนๆก่อนว่า ไปเที่ยวตั้งแต่เดือนที่แล้วละ แต่พึ่งจะมีเวลามานั่งเล่าให้เพื่อนๆฟังก็วันนี้เอง..เหตุที่ได้ไปเที่ยวครั้งนี้ เกิดจากพี่ไก่พี่สาวคนเดิมนั่นแหละโทรมาชวน บอกว่าพวกพี่ๆที่ทีพีไอเค้าจะพาลูกๆหลานๆนั่งรถไฟไปเที่ยวสวนสนฯ กัน(เห็นเค้าพูดว่าเด็กๆไม่เคยนั่งรถไฟ) เราก็โอเคเลยพี่ ทิพย์ก็ไม่เคยนั่งรถไฟอายุปูนนี้ละลองดูละกัน..พึ่งรู้ว่าการรถไฟเค้ามีรถไฟนำเที่ยวด้วยแฮะ มีสองขบวน ขบวนแรกไปสวนสนประดิพ้ทธิ์(suansonpradiphat) อีกขบวนไปน้ำตกไทรโยคน้อย(sai yok noi)
วันที่ไปกันนี่รู้สึกจะเป็นวันที่2พ.ค.52รถไฟออกจากหัวลำโพง7โมงเช้า(เราน่ะรีบตื่นตั้งแต่ตี5เพราะนัดกันไว้6โมง) บรรยากาศบนรถไฟขาไปนี่ครึกครื้นมาก แต่ละคนดูสดชื่นกันถ้วนหน้า ตอนเช้าๆได้เห็นทิวทัศน์ท้องทุ่งนาแทนการเห็นรถราวิ่งขวักไขว่ก็รู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า ยิ่งเราล่ะตื่นเต้นเป็นพิเศษพึ่งจะเคยนั่งรถไฟกะเค้าเป็นครั้งแรก รถไฟแวะหยุดที่นครปฐมให้ไปไหว้พระปฐมเจดีย์40นาที จากนั้นก็จะไปตัดขบวนรถเป็นสองขบวนที่ราชบุรีมั๊ง ขบวนนึงไปทะเล(สวนสนฯ) อีกขบวนไปน้ำตก กว่าจะถึงสวนสนก็ปาเข้าไปเกือบเที่ยง ไปถึงหิวกันมากกกก..ต้องรีบจัดแจงเอาเสบียงที่เตรียมไปมานั่งกินกัน ก็ได้บรรยากาศดีไปอีกแบบ ที่สวนสนมีร้านขายอาหารไม่กี่ร้าน เรื่องความอร่อยอืม ไม่เล่าดีกว่าให้เพื่อนๆไปชิมกันเอาเอง..พอกินกันอิ่มก็พากันลงเล่นน้ำทะเล แต่ขอบอกว่าวันที่ไปเนี่ย ร้อนนนนนมากกกกกก..ถึงมากที่สุด แดดเปรี้ยงเลย หมวกกะแว่นกันแดดที่เตรียมไปได้ใช้งานเต็มที่ กลับมางี้ตัวดำปี๋เลย (ปกติก็ไม่ขาวกะเค้าซะด้วย..เครียด)..ขากลับรถไฟออกจากสวนสนฯตอน4โมงเย็น บรรยากาศขากลับนี่แตกต่างกะขาไปเลย แบบว่ามองไปทางไหนเห็นหลับกันหมดทั้งขบวน (แม้กระทั่งเรายังเผลอหลับไปกะเค้าเหมือนกัน) ถึงหัวลำโพงก็ปาเข้าไป3ทุ่มครึ่ง..
สรุป เพื่อบันทึกความทรงจำในการไปเที่ยวสวนสนฯครั้งนี้
1.ตื่นเต้นเพราะได้นั่งรถไฟเป็นครั้งแรก
2.เข็ดกับการนั่งรถไฟเพราะมันนานมาก ตั้งแต่6โมงครึ่งถึงสามทุ่มครึ่ง ได้เดินบนพื้นดินเพียง4ชม.
3.ความรู้ใหม่ๆปลาหมึกกัดได้ด้วย(เห็นปลาหมึกที่ชายหาดด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์เอามือไปจับมันขึ้นมา มันก็ไต่ไปไต่มาบนมือและกัดซะงั้น)
4.ไปครั้งหน้าต้องเตรียมเสบียงไปเยอะๆ อย่าหวังว่าจะไปซื้อหาเอาข้างหน้า เพราะมันอาจไม่ใช่อย่างที่เราคิดไว้ และ
5.ถ้ามีโอกาสไปเที่ยวทะเลครั้งหน้า ห้ามลงเล่นน้ำทะเลในขณะที่แดดจัดมาก เพราะจะทำให้เราดำลงกว่าเดิมหลายเท่า555..ถ้าเพื่อนๆสนใจอยากจะลองนั่งรถไฟชมทัศนียภาพสวยๆล่ะก็น่าลองไปกันดูนะ แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้เก็บภาพบรรยากาศบนขบวนรถไฟมาฝากเพื่อนๆ แต่ก็ขอแก้ตัวด้วยการนำภาพชายหาดสวนสนฯที่ผู้คนไม่พลุกพล่านมาฝากให้ได้ชมกันนะจ๊ะ..

Sunday, March 15, 2009

ไปดูมาแล้ว..ความจำสั้น แต่รักฉันยาว (Best of Times)

เก็บเอามาเล่าให้เพื่อนๆ ฟังอีกเช่นเคย วันที่2มี.ค.52 นัดกันกับพี่ไก่ที่เซ็นทรัลลาดพร้าว พี่ไก่นี่เป็นพี่สาวที่น่ารักมาก รู้จักกันมาก็หลายปี ตั้งแต่ทิพย์ยังทำงานอยู่ที่บริษัททีพีไอ จนมาทำงานที่ใหม่นี่ก็ปาเข้าไปจะ6ปีละ ก็ไปหาอะไรอร่อยๆ กินกันประสาคนโสด อิอิ..และแล้วพี่สาวเราก็แจ้งข่าวล่ามาแรงทำเอาเราหงอยลงไปทันที "พี่มีแฟนแล้วนะ.." ห๊า!..พระเจ้ากลั่นแกล้ง มาแย่งพี่สาวเราไปอีกละ ทีนี้เราจะไปไหนมาไหนก็ไม่สะดวกเหมือนเคยแล้วสิ เฮ้อ! ก็ได้แต่สงสารตัวเอง..คุยกันจนหมดเรื่องจะคุย ไปดูหนังกันดีกว่า เจอหนังเรื่องนึงชื่ออ่านดูแล้วเออ น่าสนใจดี..ความจำสั้น แต่รักฉันยาว..ที่สำคัญมีหมามีคิ้วด้วย 555+ อ้าว เข้าวันที่5 นี่นา ก็เลยต้องดูเรื่องอื่นแก้ขัดไปก่อน ตั้งใจว่า วันที่5ต้องไปดูให้ได้..ที่ไหนล่ะ พอวันที่5 งานยุ่งซะนี่เหนื่อยก็เหนื่อย ไปดูวันถัดไปก็ได้ ไม่เป็นไรวันเดียวเอง..
วันที่6มี.ค.52 ได้เวลา4โมงเป๊ะ ก็รีบเก็บของโทรตามพี่กุ้งไปดูหนังเดอะมอลล์กันดีกว่า..พี่กุ้งนี่ก็เป็นพี่สาวที่น่ารักอีกคนนึงเหมือนกัน ทำงานที่เดียวกัน พักอยู่ห้องใกล้ๆกัน ก็เลยไปไหนมาไหนด้วยกันค่อนข้างบ่อย ครั้งนี้กล้าชวนแบบกะทันหันเพราะว่าแฟนพี่แกไม่อยู่ไปต่างประเทศ เราก็เลยถือโอกาสแอบพาพี่กุ้งเที่ยวซะเลย..อิอิ..ไปถึงเดอะมอลล์ พี่กุ้งบอกพี่ไม่ดูอ่ะเรื่องความจงความจำอะไรเนี่ย เด็กๆ เพ้อฝัน..ว่าซะเสียเลย สรุปคือพี่แกจะดูหนังฝรั่ง เรื่องอะไรจำไม่ได้แล้ว เราก็เลย..เอาก็เอาพี่ งั้นเราแยกกันดูคนละโรงละกัน เจอกัน3ทุ่ม หนังจบนะพี่.. หลังจากที่ได้ดูสมใจแล้วก็เอามาพูดให้ฟังกันซะหน่อย หนังเค้าก็ใช้ได้นะ บางฉากทำเอาน้ำตาซืมเลยก็มี คนที่ชอบหนังแนวโรแมนติค/ดรามา ไม่น่าพลาดนะ ขอบอก..ยิ่งเพลงประกอบภาพยนต์ที่พี่เบิร์ดร้อง ชื่อเพลง..จะได้ไม่ลืมกัน.. ฟังแล้วซึ้งสุดๆ ได้ฟังทีไรก็ซึ้งกินใจทุกที..และก็อดไม่ได้ที่จะแบ่งปันให้เพื่อนๆ ได้ชมกัน..เชิญชมกันได้เลยนะคะที่ Video Bar ค่ะ

Monday, March 2, 2009

แนะนำหนังสือทรงคุณค่าน่าอ่าน พ่อสอนลูก โดย ฯพณฯ ทวี บุณยเกตุ


มีหนังสือดีๆ ที่ทิพย์คิดว่า ถ้าเพื่อนๆ ได้อ่านแล้วจะรู้สึกประทับใจที่สุด..ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าได้หนังสือเล่มนี้มาได้ยังงัย คือ เมื่อหลายเดือนก่อนทิพย์ไปไหว้พระที่วัดพระแก้ว (ที่จริงว่างๆ ก็จะไปเรื่อยๆ ล่ะ แต่ช่วงนี้ไม่ค่อยว่างซักเท่าไหร่ ล่าสุดก็พึ่งไปมาเมื่อสองอาทิตย์ก่อน) อ้อ..ปกติทิพย์จะชอบไปทางเรือมากกว่ารถแท็กซี่หรือรถเมล์ เพราะเบื่อรถติดมากๆ ยิ่งรถเมล์ยิ่งแล้วใหญ่เลย สูดควันพิษตลอดเส้นทาง เฮ้อ..ไปทางเรือน่ะดีกว่าเยอะ อากาศก็ดีไม่ร้อน แถมได้ดูวิวทิวทัศน์สองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาไปเรื่อยๆ อีกด้วย
ทิพย์ชอบไปไหนมาไหนคนเดียว รู้สึกมันคล่องตัวดี ทิพย์จะลงเรือที่วัดราชสิงขรและไปขึ้นฝั่งที่ท่าช้าง ที่ท่าช้างมีของขายเยอะมาก(โดยเฉพาะของกิน) ที่นี่แหละคือที่ๆ ทิพย์พบหนังสือเล่มนี้ เป็นหนังสือเก่า คนขายเขาจะปูผ้าพลาสติกและวางหนังสือซ้อนๆ กัน บางเล่มดูดีหน่อย ก็จะวางเรียงไว้เรียกลูกค้า ทิพย์เป็นคนชอบอ่านหนังสืออยู่แล้วอ่ะนะ เห็นปุ๊บก็ต้องแวะปั๊บล่ะ ยิ่งราคาถูกด้วย ยิ่งชอบ 55+ ราคาที่หน้าปก 30 บาท ขายเล่มละ 15 บาท หนังสือเล่มนี้พิมพ์เมื่อปี 2533 ได้รับประกาศจากกรมวิชาการให้เป็นหนังสือส่งเสริมการอ่านสำหรับประโยคประถมศึกษาตอนปลาย และประโยคมัธยมศึกษา เมื่อปี 2515 แว้บแรกที่ได้เห็นเนื้อหาข้างใน บอกได้คำเดียวว่า ประทับใจจริงๆ เป็นหนังสือที่รวบรวมจดหมายจาก ฯพณฯ ทวี บุณยเกตุ ที่ส่งถึงบุตรชายและบุตรสาวในระหว่างที่ท่านพำนักอยู่ที่ปีนัง ข้อความในจดหมายเขียนด้วยภาษาที่อ่านแล้วเข้าใจง่าย เป็นคำสอนของพ่อที่ถ่ายทอดไปยังลูกทั้งสองด้วยความรักและห่วงใย อยากให้ลูกทั้งสองประพฤติตนเป็นคนดี ทิพย์จะขอยกตัวอย่างเรื่องที่ท่านเขียนถึงลูกชายซักหน่อย อย่างเรื่องการคบเพื่อน ก็บอกว่าเพื่อนมีกี่ประเภท เพื่อนแท้ควรมีคุณสมบัติยังงัย สอนให้เรารู้จักคบเพื่อน เรื่องการประพฤติตน การพูดจา การใช้คำพูดและกาลเทศะที่จะพูด ความกตัญญูรู้คุณ การไม่เอาเปรียบคนและไม่เห็นแก่ตัว การรู้จักคุณค่าของเงิน อย่าขี้เหนียว แต่ก็อย่าสุรุ่ยสุร่าย ความยุติธรรม ให้มีใจคอหนักแน่นและเยือกเย็น การเป็นคนรักเกียรติ ไม่เป็นคนอิจฉาพยาบาทคน การเป็นคนเสมอต้นเสมอปลาย อย่าเป็นคนเกเร อย่าเป็นคนหูเบา ให้รู้จักรักษาความลับ อย่ายกตนข่มท่าน อย่าประจบสอพลอ อย่าเอาแต่ใจ ตั้งตนอยู่ในศิลธรรม ฯลฯ สำหรับเรื่องที่ท่านเขียนถึงลูกสาว ก็อย่างเช่น เรื่องให้เป็นคนมีหน้าตาแจ่มใสร่าเริง วาจาอ่อนหวาน มีใจเมตตากรุณา อย่าเอาเปรียบคน อย่าถือตัว อย่าตำหนิคนอื่นว่าเลวไปเสียหมด ให้รักญาติพี่น้องเพื่อนฝูงและหมู่คณะ เรื่องความสามัคคี ฯลฯ ยิ่งพอทิพย์อ่านจบทั้งเล่มแล้วยิ่งรู้สึกประทับใจที่สุด จนต้องเรียกหนังสือเล่มนี้ว่า เป็นหนังสือที่ทรงคุณค่าเลยล่ะ ตั้งใจไว้ว่าจะเก็บไว้อ่านเพื่อเตือนตัวเอง อ้อ..ถ้าเพื่อนๆ คนไหนสนใจอยากจะอ่านบ้าง ก็ยินดีให้ยืมอ่านนะจ๊ะ แต่อ่านแล้วต้องคืนด้วยนะ..