กลับมาอีกครั้ง หลังจากวันหยุดเทศกาลสงกรานต์ที่ได้มีโอกาสหยุดยาวหลายวัน ทิ้งภาระหน้าที่ หลบหนีความวุ่นวายในเมืองกรุง ไปนอนพักกายพักใจที่บ้านน้อยหลังเดิมที่จากมาร่วมๆ17ปี ตั้งแต่เริ่มเรียน ปวช.ก็จำต้องห่างบ้าน ยิ่งนานวัน เดือน ปี ก็ยิ่งไกลห่างบ้านเราออกไปทุกที เรียน ปวช.กลับบ้านอาทิตย์ละครั้ง เรียน ปวส.เดือนละครั้ง พอทำงาน+เรียนปริญญาตรี นี่ยิ่งไปกันไหญ่ กลับบ้านปีละครั้งสองครั้ง พอได้กลับบ้านบ้านทีก็ได้มีเวลานอนคิดทบทวน ระลึกนึกถึงภาพความทรงจำเก่าๆ ได้นั่งรถผ่านหมู่บ้าน ท้องนา ซึ่งในตอนนี้เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อน บ้านเรือนหนาแน่นขึ้น ท้องนาดูโล่งกว้างสุดลูกหูลูกตา ต้นไม้ที่เคยมีไม่รู้มันหายไปไหนหมดนะ เสาธงของโรงเรียนที่ได้เคยศึกษาเล่าเรียนในวันนี้ยังตั้งตระหง่านเช่นเดิม แต่ที่เปลี่ยนไปก็คงจะเป็นอาคารไม้ที่เคยเป็นอาคารเรียนไม้2ชั้นนั้นถูกรื้อไปนานแล้ว เมื่อก่อนอาคารหลังนี้ ชั้นล่างเป็นห้องเรียนของนักเรียนอนุบาลและนักเรียนชั้น ป.1 ห้องเก็บอุปกรณ์กีฬา ส่วนชั้น2 เป็นห้องเรียนของนักเรียนชั้น ป.2 -ป.3 และห้องพักครู นึกถึงคุณครูที่เคยพร่ำสอน นึกถึงความเมตตาของคุณครูที่คงมองเห็นแววแห่งความมุ่งมั่นที่มีในตัวลูกศิษย์คนนี้อยู่บ้าง คุณครูที่เคี่ยวเข็ญให้ต้องฝึกคัดลายมือ ฝึกเขียนเรียงความ ฝึกอ่านหนังสือภาษาไทย ทั้งอ่านในใจ-อ่านออกเสียง คุณครูที่เสียสละเวลาตอนเย็นหลังเลิกเรียน วันหยุดเสาร์-อาทิตย์ เพื่อฝึกฝนลูกศิษย์ส่งไปเป็นตัวแทนประกวดอะไรต่อมิอะไร ทั้งระดับกลุ่มโรงเรียน-ระดับอำเภอ แต่ที่ทิพย์ภาคภูมิใจไม่ใช่ใบประกาศเกียรติคุณหรือรางวัลที่ได้รับจากการชนะการประกวดประชันอะไรนั่นหรอก(เพราะตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าเอาไปเก็บไว้ที่ไหน) แต่ทิพย์รู้สึกซาบซึ้งและภาคภูมิใจที่ได้รับความรัก ความเมตตาปราณีจากอาจารย์ต่างหาก หากไม่มีพวกท่านในวันนั้น ก็อาจจะไม่มีดวงทิพย์ จีนมะโน ในวันนี้..ถึงแม้ทิพย์จะไม่ได้มีโอกาสเข้าไปเยี่ยมเยียนท่านเลย แต่พระคุณของครูบาอาจารย์ทุกท่านยังตราตรึงอยู่ในดวงใจของดวงทิพย์ไม่มีวันลืม..
วันเวลาผ่านไป..ไวเหมือนโกหก..หลับตานึกย้อนไปถึงวันเวลาเก่าๆ พอลืมตาตื่นขึ้นจากภวังค์ โอ้โห! นี่มันผ่านไปจะเกือบ20ปีแล้วหรือนี่ ชีวิตที่ดูเหมือนจะเปลี่ยนแปลงไป ทั้งความเป็นอยู่ อาชีพการงาน และที่สำคัญคืออายุที่บ่งบอกว่าตัวเรานั้น ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านเรื่องราวทุกข์สุขมาแล้วครึ่งชีวิต แต่ทำไมสถานภาพสมรสในคำร้องขอมีบัตรประจำตัวประชาชนถึงยังเป็น "โสด" เหมือนเดิมก็ไม่รู้ 555+ จะพยายามรักษาสถานภาพนี้ไว้ให้ถึงที่สุด (แต่ไม่รับปากว่าจะนานตราบสิ้นลมหายใจนะคะเพื่อน^^)
Tuesday, April 26, 2011
Sunday, April 10, 2011
สัมมนากับคณะครู-ระทึกขวัญกับเหตุการณ์แผ่นดินไหว
ไปสัมมนาครั้งนี้ ต้องขอขอบคุณพี่เนตร ฝ่ายการศึกษา สำนักงานเขตบางคอแหลมเป็นอย่างมาก ที่มีน้ำใจชวนน้องทิพย์ไปร่วมเป็นเจ้าหน้าที่ในการสัมมนาระหว่างวันที่23-25ม.ค.54 ทำให้ได้มีโอกาสไปเชียงใหม่ และได้พบกับเรื่องราวที่สุดจะตื่นเต้น ระทึกขวัญ แบบที่เรียกได้ว่า ลืมไม่ลงกันเลยล่ะค่ะ
ออกเดินทางโดยรถบัสในคืนวันที่22ม.ค.54 ตอน4ทุ่ม ไปถึงตากก็ตี4 (เช้าของวันที่23ม.ค.54) และเข้าพักอาบน้ำ ทานอาหารเช้ากันที่โรงแรมเวียงตากริเวอร์ไซด์ 8โมงเช้าเดินทางต่อไปที่เขื่อนภูมิพล เพื่อล่องแพชมทัศนียภาพของเขื่อนภูมิพล วันนี้อากาศดี (แต่ที่กรุงเทพฯฝนตกหนัก) กรมอุตุนิยมวิทยาแจ้งว่าวันนี้อาจจะมีฝนตกทางภาคเหนือ แต่โชคดีค่ะถึงจะดูครึ้มฟ้าครึ้มฝนอยู่บ้างแต่ฝนก็ไม่ตก คณะของเราจึงล่องแพกันได้อย่างสบายใจไม่ต้องกังวลอะไร วันนี้ทานมื้อเที่ยงกันที่แพ มีการร้องเล่นเต้นรำกันเต็มที่ (นึกเสียดายว่า ถ้าเพื่อนๆของทิพย์มากันครบทุกคนคงจะสนุกกว่านี้) ขึ้นจากแพก็เดินทางต่อไปจังหวัดเชียงใหม่ ถึงเชียงใหม่ประมาณ5โมงเย็น เข้าพักที่โรงแรมเซ็นทาราดวงตะวัน ทิพย์ได้พักที่ชั้น19 ห้อง1915ค่ะ ครั้งแรกที่ขึ้นไปถึงห้องพัก โอ้โห! บรรยากาศข้างบนสวยมาก มองจากมุมสูงเห็นเมืองทั้งเมืองไกลสุดลูกหูลูกตาเลยค่ะ ความรู้สึกตอนนั้นรู้สึกว่าโชคดีมากๆ ที่ได้อยู่ชั้น19 ตั้งใจว่าถ้ามาเชียงใหม่อีกรอบจะมาพักที่นี่แหละ แต่ขอเป็นชั้นบนสุดเลย จะได้เห็นตัวเมืองได้ไกลกว่านี้ โทรหาเพื่อนสมัยเรียนบ้านเพื่อนอยู่ที่เชียงใหม่นี่แหละค่ะ แต่ตอนนี้ทำงานอยู่ กทม. โม้ซะเลยว่าได้อยู่ชั้น19 ชวนเพื่อนให้ตามมาอีกต่างหาก แต่เพื่อนไม่มาหรอกค่ะ เขาบอกว่าชวนช้าไป ลางานไม่ทัน..(โชคดีแล้วแหละเพื่อน) พักหายเหนื่อยก็ได้เวลาอาหารค่ำตอนทุ่มครึ่ง ทานเสร็จก็แยกย้ายไปพักผ่อนกันตามอัธยาศัยค่ะ ทิพย์พักกับพี่มนและน้องมิกกี้(ลูกสาวพี่มน) ก็ชวนกันไปเดินดูตลาดไนท์บาร์ซาของเมืองเชียงใหม่ มีข้าวของขายเต็มไปหมด คืนนี้ทิพย์รู้สึกไม่ค่อยสบาย ทำให้ไม่อยากเดินช็อปปิ้งสักเท่าไหร่ เดินได้ซักพักก็ชวนพี่มนกลับห้องพัก สรุปว่าคืนนี้ทิพย์ก็ทานยาแก้ปวดหลับไปตั้งแต่2ทุ่มครึ่งค่ะ
เช้าของวันที่24ม.ค.54 ออกเดินทางไปไหว้พระที่วัดศรีสุพรรณ ที่นี่กำลังสร้างอุโบสถเงินทั้งหลัง สวยงามมากทีเดียว ได้มาไหว้พระทั้งทีก็ถือโอกาสทำบุญสะเดาะเคราะห์เพื่อความเป็นสิริมงคล ที่นี่มีการทำเครื่องเงินจำหน่ายเป็นของฝาก ของที่ระลึกด้วยนะคะ (ทิพย์ได้สร้อยเงินติดไม้ติดมือกลับมาเส้นหนึ่งค่ะ มีจี้เป็นรูปดอกกุหลาบเล็กๆ น่ารักมาก) จากนั้นก็เดินทางไปชมหอศิลปวัฒนธรรมเชียงใหม่ ภายในพิพิธภัณฑ์จัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของเมืองเชียงใหม่ และวิถีชีวิตวัฒนธรรมท้องถิ่นของชาวเมืองเชียงใหม่ มีเจ้าหน้าที่พาชมห้องจัดแสดงต่างๆ หลังจากชมหอศิลปฯจนทั่วแล้วก็ได้เวลาอาหารเที่ยงพอดีค่ะ หลังจากทานมื้อเที่ยงเสร็จก็เดินทางต่อไปที่บ้านบ่อสร้าง อ.สันกำแพง ซึ่งเป็นที่รู้จักและมีชื่อเสียงในเรื่องของการทำร่ม (ภาษาทางภาคเหนือเรียก"ร่ม"ว่า"จ้อง"ค่ะ) ร้านค้าที่นี่จะจำหน่ายร่มและหัตถกรรมพื้นบ้านอย่างเช่น ผ้าฝ้าย ของใช้ที่ทำจากไม้ พัด ทิพย์เสียสตางค์ที่นี่มากที่สุด เพราะซื้อของฝากติดไม้ติดมามือมาฝากเพื่อนๆที่ทำงาน ฝากแม่ ฝากน้อง สรุปแล้วของฝากเต็มไปหมด 5โมงเย็นก็หมดเวลาช็อปปิ้ง ได้เวลากลับโรงแรมที่พักกันแล้วล่ะค่ะ
กลับถึงโรงแรมที่พักก็แยกย้ายเข้าห้องพัก และนัดทานอาหารค่ำตอนหนึ่งทุ่มซึ่งทางโรงแรมจัดเป็นงานเลี้ยงแบบบุฟเฟต์ หลังจากทานอาหารเสร็จ ประมาณ2ทุ่ม ทิพย์ก็ชวนพี่มนกลับห้องพัก เพราะรู้สึกว่าเริ่มง่วงขึ้นมานิดๆ คงเพราะฤทธิ์ของยาแก้แพ้ที่ทิพย์ทานเข้าไปก่อนลงไปทานอาหารค่ำนั่นเอง กลับมาห้องพักก็อาบน้ำ จากนั้นก็หยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมาถ่ายภาพของเมืองเชียงใหม่ยามค่ำคืนไว้เป็นที่ระทึกซะหน่อย และก็ไม่ลืมคุยโทรศัพท์ก่อนนอน โม้นู่น นี่ นั่น อีกตามเคย ระหว่างที่กำลังคุยเพลินๆ อยู่ที่มุมนั่งเล่นนั่นเอง (ตอนนั้นเวลาประมาณ3ทุ่ม) รู้สึกว่าพื้นสั่นไหวไปมา ตกใจ! ลุกขึ้นยืน ก็ยังรู้สึกไหวอยู่ พี่มนซึ่งกำลังดูทีวีอยู่กับน้องมิกกี้ ก็ตะโกนบอกว่า ทิพย์! แผ่นดินไหว ทิพย์ตกใจมาก รีบกระโดดหนีออกมุมกระจก คลานเข้าไปหลบใกล้ๆกับชั้นวางทีวี ตาก็เหลือบมองดูโคมไฟที่อยู่ด้านบนของมุมนั่งเล่น เห็นโคมไฟแกว่งไปมา รู้สึกได้ว่าตึกไหวแรงมากๆ พี่มนตะโกนมาอีกทีว่าให้รีบเก็บกระเป๋าสตางค์ แล้วก็พากันวิ่งลงไปข้างล่าง ในใจคิดอยู่ตลอดขอให้ตึกอย่าเพิ่งถล่มนะ ไม่เป็นอะไรนะ ถ้าจะเกิดอะไรขึ้นขอให้เราวิ่งลงไปให้พ้นจากที่นี่ก่อน คิดถึงแม่ คิดถึงน้อง คิดถึงคนที่รักเรา มันกลัวแบบสุดๆ กลัวที่สุดในชีวิตเพราะเราไม่เคยเจอเหตุการณ์แผ่นดินไหวแบบนี้ คิดดูสิคะเพื่อนๆ วิ่งลงมาจากชั้น19 เหนื่อยก็เหนื่อย กลัวก็กลัว ยิ่งเราวิ่งลงมาชั้นล่างๆ คนก็ยิ่งเยอะขึ้นๆ ถ้าใครล้มนี่สงสัยต้องมีเหยียบกันตายแน่ๆ ทิพย์วิ่งลงมาทั้งชุดนอนนั่นเลยค่ะ พอออกมาพ้นจากตัวตึก โล่งอกอย่างบอกไม่ถูกเลยค่ะ เฮ้อ! รอดตายแล้วเรา โทรศัพท์หาแม่ หาน้อง หาพี่ โทรถามว่ามีข่าวแผ่นดินไหวรึเปล่า ก็ยังไม่มีใครรู้ข่าว ยังไม่มีทีวีช่องไหนเสนอข่าวแผ่นดินไหว ประมาณ4ทุ่ม ทางโรงแรมจึงอนุญาตให้แขกที่เข้าพักขึ้นห้องพักได้ (ตอน3ทุ่มครึ่งยังไม่ให้ขึ้นเพราะกลัวจะมีแผ่นดินไหวซ้ำอีก) ท่านผู้อำนวยการเขตบางคอแหลม (ท่าน ผอ.บัณฑิต สิทธินามสุวรรณ์) ก็ให้คณะของเราเช็คเอาท์ออกจากโรงแรมที่พัก และเดินทางกลับ กทม.ในคืนนั้นเอง กลับถึง กทม.ก็ประมาณ10โมงครึ่งของวันที่25ม.ค.54
สรุปว่า การเดินทางไปสัมมนาที่เชียงใหม่ในครั้งนี้ เป็นเหตุการณ์ระทึกขวัญที่ต้องจดจำแบบไม่มีวันลืมได้เลย จากที่ในตอนแรกดีใจที่ได้พักห้องชั้น19 สูงดี วิวสวย บรรยากาศดี อยากจะไปพักอีกครั้ง กลับกลายเป็นว่าตอนนี้ ทิพย์กลัวความสูงไปเลยล่ะค่ะ ในภาพด้านบน ทิพย์ถ่ายภาพนี้จากห้องพักชั้น19 ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวประมาณ10นาที เหตุการณ์แผ่นดินไหวในครั้งนี้ จุดศูนย์กลางอยู่ที่ประเทศพม่า ความรุนแรงวัดได้ 6.7 ริกเตอร์ ตึกสูงหลายแห่งใน กทม. สามารถรับแรงสั่นสะเทือนได้ด้วยค่ะ แต่ทิพย์นี่สิคะ รับเต็มๆ จดจำแบบไม่มีวันลืมเลยล่ะค่ะ..
ป้ายกำกับ:
เซ็นทารา ดวงตะวัน,
ไนท์บาร์ซ่า,
แผ่นดินไหว,
หอศิลปวัฒนธรรมเชียงใหม่
Saturday, April 9, 2011
สัมมนาข้าราชการเขตบางคอแหลม 28-30 ม.ค.54
กลับมาแล้วค่ะหลังจากที่เงียบหายไป3เดือน ก็ยุ่งๆเรื่องงานเรื่องสอบ และเหตุผลสำคัญคือแอร์การ์ดที่ใช้ต่อสัญญาณอินเตอร์เน็ตมีปัญหาอยู่บ่อยครั้งค่ะ กลับมาครั้งนี้ก็มาอัพเดตเรื่องราวย้อนหลังให้เพื่อนๆ ได้รับรู้เรื่องราวว่าที่ทิพย์เงียบหายไปน่ะ ไปทำอะไรมาบ้าง..ไปสัมมนาครั้งนี้ เป็นโครงการอบรมสัมมนาเพื่อพัฒนาศักยภาพการทำงานของข้าราชการและลูกจ้างเขตบางคอแหลมแหลม และผู้ที่เกี่ยวข้อง รุ่นที่2 ระหว่างวันที่28-30ม.ค.54 ณ ชุมพรคาบาน่า รีสอร์ต จังหวัดชุมพร
28 ม.ค.54
ตื่นเช้ามาก (05.15น.) เนื่องจากว่าเมื่อคืนก่อนเดินทางนอนไม่หลับกว่าจะข่มตาหลับได้ก็ปาเข้าไปตีสาม (ตื่นเต้นๆ) ซักพักพี่แป้นก็โทรมาตามไปขึ้นรถที่หน้าสำนักงานเขต เดินทางไปชุมพรครั้งนี้นั่งรถบัสคันที่1 (มีทั้งหมด3บัส) รถออกจากหน้าสำนักงานเขตเวลา06.30น. เวลาประมาณ 10.30น. ก็แวะนมัสการหลวงพ่อโต วัดตาลเจ็ดยอด จากนั้นก็เดินทางต่อไปเพื่อทานอาหารมื้อเที่ยงกันที่อ่าวบ้านกรูด ถึงอ่าวบ้านกรูดก็ประมาณบ่ายโมง กินข้าวกินปลากันแล้วก็เดินทางต่อไปชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จังหวัดชุมพร และเดินทางต่อไปยังที่พักซึ่งก็คือ ชุมพร คาบาน่า รีสอร์ต ถึงที่พักเวลาประมาณ17.15น.ก่อนเข้าห้องพักก็เข้าห้องฟังพนักงานแนะนำโรงแรมกันก่อน ซึ่งที่ชุมพร คาบาน่า รีสอร์ต นี้มีความเป็นมาที่น่าสนใจเลยทีเดียวค่ะ ที่นี่เคยประสบกับวิกฤติเศรษฐกิจเมื่อปี2540ทำให้มีหนี้สินถึง300ล้านบาท ซึ่งทางเจ้าของโรงแรม (คุณวริษศร รักษ์พันธุ์) ก็ได้นำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาใช้เป็นหลักในการบริหารจัดการโรงแรม โดยได้มีการทำแปลงปลูกข้าวภายในบริเวณพื้นที่ของโรงแรม มีบ่อบำบัดน้ำเสีย ทำแปลงปลูกผัก ทำสบู่ แชมพู น้ำยาซักผ้า น้ำยาเอนกประสงค์ ใช้เศษผักทำน้ำหมักชีวภาพ เศษผักจากในครัวของโรงแรมก็นำมาทำเป็นอาหารเลี้ยงไก่ นำน้ำมันเก่ามาทำเป็นน้ำมันไบโอดีเซลเพื่อใช้กับรถของโรงแรม ทำให้่สามารถลดค่าใช้จ่ายของโรงแรมลงได้ถึงครึ่งหนึ่งเลยค่ะ นอกจากนั้นทางเจ้าของโรงแรมยังได้สร้างเครือข่ายกับกลุ่มชาวบ้านที่อยู่รอบๆโรงแรม ด้วยการฝึกอบรมพนักงานให้รู้จักการพึ่งพาตนเอง ซึ่งพนักงานของโรงแรมส่วนใหญ่ก็คือชาวบ้านที่อยู่รอบๆโรงแรม เมื่อสามารถทำให้พนักงานเข้าใจถึงปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงแล้วก็เป็นการง่ายที่จะถ่ายทอดให้กับชาวบ้านในชุมชนใกล้เคียง ซึ่งก็เป็นผลให้สามารถสร้างเครือข่ายเศรษฐกิจพอเพียงในชุมชนได้ในที่สุดค่ะ
29 ม.ค.54
ตื่นเช้า 06.20น. หลังจากที่อาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยแล้วก็ไปทานอาหารเช้าแบบบุฟเฟต์ของทางโรงแรม ทานเสร็จก็ยังพอมีเวลาเดินชมรอบๆบริเวณโรงแรม บรรยากาศที่นี่เงียบสงบ เหมาะแก่การพักผ่อนมากๆเลยค่ะ แขกชาวต่างชาติก็มีไม่เยอะเท่าไหร่ นี่ทิพย์ยังแอบวางแผนไว้ในใจเลยว่า ถ้ามีโอกาสจะมาพักผ่อนที่นี่อีกซักครั้ง..เวลาประมาณ9โมงเช้าก็ออกเดินทางไปเยี่ยมชมโครงการพัฒนาพื้นที่หนองใหญ่ ซึ่งเป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งพระองค์ทรงมีพระราชดำริให้จัดทำโครงการนี้เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมจังหวัดชุมพร..(ในภาพด้านบนทิพย์ยื่นอยู่บนสะพานไม้เคี่ยม ระยะทาง300เมตร เชื่อมระหว่างพื้นที่โครงการฯและเกาะชมนกชมไม้ซึ่งอยู่ด้านหลังของทิพย์ค่ะ) หลังจากเดินชมภายในโครงการจนทั่วแล้วก็ได้เวลาทานอาหารเที่ยงแบบปิคนิคกันในโครงการนี่แหละค่ะ อาหารอร่อยมาก แต่รสชาติค่อนข้างเผ็ดทีเดียว ทานมื้อเที่ยงเสร็จก็ออกเดินทางกันไปยังศาลกรมหลวงชุมพร ระหว่างทางก็แวะชมการสาธิตการทำผ้าบาติกอีกด้วยค่ะ กลับถึงโรงแรมที่พักประมาณ5โมงเย็น ยังพอมีเวลาได้เดินชายหาดยามเย็นซึ่งอยู่หน้าโรงแรมเลยค่ะ หาดทรายที่นี่สวยมาก หาดทรายขาว เนื้อทรายละเอียด แต่คลื่นลมค่อนข้างแรงก็เลยไม่กล้าลงเล่นน้ำทะเลกันน่ะค่ะ สำหรับคืนสุดท้ายของการมาสัมมนาก็จัดให้มีงานเลี้ยงเวลา2ทุ่ม ในงานก็มีการจับแจกรางวัล แต่เสียดายงานนี้ทิพย์ไม่ได้รางวัลอะไรเลย แต่ก็ไม่เป็นไรค่ะ แค่ได้มาสัมมนาที่นี่ก็ได้อะไรหลายๆอย่างคุ้มค่า ไม่ใช่สิ ต้องเรียกว่าเกินคุ้มเลยล่ะค่ะ
30 ม.ค.54
ตื่นเช้า 6.30น. แต่งตัว จัดกระเป๋า ทานอาหารเช้า และเช็คเอาท์ เดินทางกลับ กทม.ค่ะ มื่อเที่ยงก็แวะทานข้าวกันที่ริมชายหาดจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เดินทางกลับโดยสวัสดิภาพค่ะ ถึง กทม.ประมาณ5โมงเย็น
ไปสัมมนาครั้งนี้ประทับใจโรงแรมที่พักมากๆ เพราะที่นี่ได้นำเอาหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้กับการบริหารจัดการของโรงแรม ตั้งแต่การปลูกข้าว ปลูกผักสวนครัว การนำของเหลือ เศษผัก กลับมาใช้ใหม่โดยนำไปเป็นอาหารไก่ ทำน้ำหมักชีวภาพ ทำน้ำมันไบโอดีเซล การทำสบู่ แชมพู สำหรับใช้ในโรงแรม ซึ่งสามารถลดต้นทุนในการบริหารจัดการได้อย่างมากเลยค่ะ ถึงวันนี้ทางโรงแรมจะยังคงมีภาระหนี้สินที่ยังค้างชำระอยู่ แต่ก็สามารถดำเนินกิจการได้ ไม่ล่มสลายไปพร้อมกับวิกฤติเศรษฐกิจเมื่อครั้งก่อน นับว่าเป็นความสามารถของผู้บริหารของที่นี่เลยก็ว่าได้ ขอชื่นชมจากใจจริงค่ะ ทิพย์ว่าความพอเพียง นำมาซึ่งความสุข สุขกับชีวิตความเป็นอยู่ รู้จักคำว่าพอดี พอเพียง พอประมาณ ไม่ทำอะไรที่เกินตัว เราก็จะไม่เกิดทุกข์ ขอให้มีความสุขกันทุกๆคนนะคะเพื่อนๆ ^____^
Subscribe to:
Posts (Atom)